คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าลูกน้อยแก้วตาดวงใจของคุณ ที่วิ่งเล่น หัวเราะอย่างสนุกสนานได้ตามปกติ ในช่วงกลางวัน กลับเริ่มมีอาการไอเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องหายใจถี่ตลอดทั้งคืน ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาไอเป็นระยะๆ บางครั้งไอจนอาเจียนไม่สามารถนอนหลับสนิทได้จนถึงเช้าแถมยังมีอาการงอแงตามมาด้วยเพราะนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
หากอาการเช่นนี้เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน คุณพ่อ คุณแม่ จะชะล่าใจไม่ได้แล้ว เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่าหนูน้อยกำลังตกอยู่ในสภาวะ “โรคหืด” เพื่อให้ลูกน้อยกลับมาร่าเริง แจ่มใสและหลับสนิทปราศจากโรคภัย
นายแพทย์วสุ กำชัยเสถียร กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ สละเวลามาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคหืด โดยคุณหมออธิบายให้ฟังว่า โรคหอบหืด ในภาษาไทยจะใช้คำว่า โรคหืด (Asthma) ส่วนคำว่าหอบ เป็นอาการของโรค โดยโรคหืดนั้น เป็นอาการของโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง ที่เกิดในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ ตั้งแต่หลอดลมเรื่อยไปจนถึงหลอดลมฝอยและหลอดลมส่วนปลาย
“เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัยซึ่งพบได้ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงเด็กโต คือ อายุน้อยกว่า 5 ปี ก็สามารถเป็นโรคนี้ได้ โดยข้อมูลในต่างประเทศพบว่า เด็กเล็กจะเป็นในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นกับวัยผู้ใหญ่จะพบในผู้หญิงมากกว่า ส่วนในประเทศไทยไม่แตกต่างกันสามารถพบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายโรคหืด ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่อาจถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลานได้ และคนปกติที่ไม่เคยเป็นโรคหืดมาก่อนก็สามารถเป็นโรคนี้ได้หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเป็นโรคหืดโดยที่ตนเองไม่รู้ตัวมาก่อน”
ลักษณะของเด็กที่เป็นโรคหืด คือ จะมีอาการไอ โดยจะไออยู่บ่อยๆ ยิ่งในช่วงเวลากลางคืนและช่วงเช้า หรือเวลาถูกกระตุ้นจากปัจจัยเสริม เช่น อากาศเปลี่ยน อุณหภูมิที่เย็นเกินไป แต่อากาศในห้องแอร์ที่เย็นไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคหืดมากขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ และสภาพในห้องที่ติดแอร์ หากไม่มีการล้างทำความสะอาดแอร์ อาจมีสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา จะเป็นสิ่งกระตุ้นที่ทำให้คนไข้มีอาการของโรคหืดขึ้นมาได้
การออกกำลังกาย เนื่องจากคนไข้กลุ่มนี้จะมีภาวะหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้น โดยหลอดลมจะหดตัวง่ายเมื่อเจอสิ่งกระตุ้นต่างๆ มากกว่าคนปกติ การออกกำลังกายอาจจะกระตุ้นให้มีอาการไอและหอบหายใจลำบาก จึงทำให้ไม่ว่าจะออกกำลังกายมากหรือเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำ ให้เกิดอาการหืดกำเริบขึ้นได้อีกปัจจัยหนึ่ง คือ สารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่นในบ้าน ซากแมลงสาบ สะเก็ดรังแคของสุนัข และแมวที่เลี้ยงในบ้าน รวมไปถึง เกสรต้นหญ้า เกสรดอกไม้ เชื้อราที่อาจจะอยู่ในบ้านและบริเวณรอบบ้าน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดปัญหากับเด็กกลุ่มนี้ ถ้าบังเอิญเด็กไปสัมผัสสูดหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้ก็จะทำให้เด็กมีอาการไอและหอบ
นอกจากจะมีอาการไอแล้ว อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย โดยในเด็กโตหรือผู้ใหญ่จะบอกได้ว่า มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก เป็นๆ หายๆ อีกอาการหนึ่งที่สังเกตได้หากอยู่ใกล้ๆ กับคนไข้ คือ จะได้ยินเสียงหายใจดัง วี้ดๆ หรือ wheezing เพราะเสียงเหมือนเสียงนกหวีด ส่วนในคนไทยอาจจะเรียกเสียงนี้ว่า “ฮื้ด”
คุณหมอกล่าวต่อว่า เพื่อความไม่ประมาทผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจึงต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติ และไม่ละเลยอาการที่เกิดขึ้นในเด็กเล็ก รวมทั้งคนไข้ที่เป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ เมื่อมีอาการไอ หายใจเหนื่อย หอบ และสิ่งที่อยากให้ระวัง คือ คนไข้ที่มีอาการไอตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า ประกอบกับมีอาการภูมิแพ้ร่วมด้วย เพราะนั่นแสดงว่า ในขณะนั้นคนไข้มีอาการที่เรียกว่า จับหืด ซึ่งเป็นอาการของภาวะหืดเฉียบพลัน หากเด็กมีอาการอย่างนี้ ต้องดูแลเบื้องต้นในกรณีที่เด็กที่ใช้ยาได้จะต้องสูดยาขยายหลอดลมเพื่อบรรเทาอาการ
ส่วนในกรณีที่เด็กไม่เคยใช้ยาขยายหลอดลมหรือยาบรรเทาอาการมาก่อน ควรรีบพาเด็กไปโรงพยาบาลทันที เพราะถ้าปล่อยไว้ ภาวะอาการจับหืดหรือภาวะหืดเฉียบพลันอาจ จะเกิดอาการรุนแรงหรือลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ
ในรายที่มีอาการรุนแรงจะนำไปสู่การขาดอากาศหายใจ เพราะหลอดลมตีบตัวอย่างรุนแรง ร่างกายขาดออกซิเจนทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลวและอาจเสียชีวิตได้ ตรงนี้เป็นความอันตรายของโรคหืดที่ต้องพึ่งระวัง “ภาวะจับหืด คือ ร่างกายมีปฏิกิริยาอาการอักเสบเกิดขึ้น โดยอาการอักเสบของโรคหืดจะแตกต่างจากอาการของการอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น โรคปอดบวม ปอดอักเสบ ตรงที่เป็นการอักเสบที่เกิดจากการกระตุ้นของสารก่อภูมิแพ้ที่สูดเข้าไปแล้วจะทำให้มีการหลั่งสารเมือกต่างๆ ออกมาในหลอดลมและระบบทางเดินหายใจ ทำให้ท่อทางเดินหายใจตีบแคบเกิดภาวะที่เรียกว่า หลอดลมหดตัว หรือบางครั้งเรียกว่า หลอดลมตีบ คนไข้กลุ่มนี้จะมีอาการหายใจติดขัด ไอบ่อยๆ เพราะว่าหลอดลมตีบลง ในขณะเดียวกัน มีสารเมือกต่างๆ ที่ร่างกายหลั่งออกมาในระบบทางเดินหายใจจนคนไข้รู้สึกหายใจลำบาก ทำให้ต้องสูดหายใจถี่ขึ้น เพื่อที่จะให้อากาศเข้าไปทดแทนกับภาวะหลอดลมตีบอยู่ จึงรู้สึกแน่นหน้าอก อึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ไหว”
จากการศึกษาในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีการติดตามสำรวจทุก 5 ปีและ 10 ปี ความชุกของโรคหืดพบว่า เดิมภาวะความชุกของโรคมีประมาณ 5% แต่เมื่อสำรวจในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ปรากฏว่าความชุกของโรคเพิ่มเป็น 15% โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ พบว่า เด็กมีปัญหาเรื่องโรคหืดถึงร้อยละ 15
การวินิจฉัยว่าเป็นโรคหืดหรือไม่นั้น สำหรับในเด็กเล็กเมื่อมาพบแพทย์ครั้งหรือสองครั้ง แพทย์จะยังไม่วินิจฉัยว่าเป็นโรคหืด เพราะอาจจะเกิดจากการติดเชื้อในระบบหายใจทำให้เด็กมีอาการคล้ายเป็นโรคหืดได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะช่วยวินิจฉัยโรคได้ดี คือ หากมีบุคคลภายในครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นโรคภูมิแพ้หรือเป็นโรคหืด อาจช่วยวินิจฉัยได้ว่าเด็กอาจจะมีปัญหาเรื่องโรคหืด อีกประการ คือ เด็กมีปัญหาในเรื่องโรคภูมิแพ้อย่างอื่นร่วมด้วย เช่น โรคภูมิแพ้ทางระบบจมูกที่เรียกว่าโรคภูมิแพ้อากาศ โรคผื่นภูมิแพ้ทางผิวหนัง แต่ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ปอดอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ ตรงนี้ก็เป็นปัจจัยเสริมอีกประการหนึ่งที่จะช่วยวินิจฉัยว่าคนไข้น่าจะมีปัญหาเรื่องโรคหืด รวมไปถึงในกรณีที่แม้จะมีอาการครั้งแรกแล้วมาพบแพทย์ ซึ่งการรักษาเริ่มแรก คือ ให้คนไข้สูดยาขยายหลอดลม ถ้าคนไข้สูดยาขยายหลอดลมแล้วอาการดีขึ้น เป็นตัวบ่งชี้ได้อย่างหนึ่งว่าคนไข้น่าจะมีปัญหาเรื่องโรคหืด
สิ่งหนึ่งที่ช่วยในการวินิจฉัยได้เช่นกัน คือ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด โดยจะให้ทำ ตั้งแต่เริ่มทำการวินิจฉัยแล้วมีการ ติดตาม ประเมินอาการเป็นระยะๆ โดยจะดูความจุของปอด ถ้าค่าความจุของปอดตํ่ากว่าเกณฑ์ที่ควรจะเป็น แสดงให้เห็นว่า คนไข้มีปัจจัยภาวะทางเดินหายใจที่อุดกลั้น ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรคหืดด้วยสำหรับการรักษา นายแพทย์วสุ อธิบายว่า “ขณะที่มีอาการจะต้องใช้ยาที่เป็นยาบรรเทาอาการ เรียกว่า ยาสูดขยายหลอดลม ซึ่งจะเข้าไปช่วยให้หลอดลมที่เกิดปัญหาหด หรือ ตีบขยายขึ้น ขณะเดียวกัน เนื่องจากโรคหืดเกิดจากการอักเสบจากสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นตัวกระตุ้น แพทย์จะใช้ยาที่เป็นตัวคุมอาการ คือ ยาสูดพ่นชนิดสเตอรอยด์ ซึ่งเป็นยากลุ่มหลักที่ใช้ในการรักษาคนไข้กลุ่มนี้”
จากการศึกษาพบว่า การให้ยากลุ่มสเตอรอยด์กับคนไข้เป็นเวลา 1-2 ปี ในเด็กและผู้ใหญ่ โดยใช้อย่างถูกวิธี มีการดูแลตนเองอย่างสมํ่าเสมอไม่พบผลข้างเคียงจากการใช้ยานี้เลย อีกทั้งยังคุมอาการของโรคได้ดีขึ้นด้วย ส่วนยาตัวอื่นๆ ที่ใช้รักษา เช่น เป็นยารับประทาน เรียกว่า ยาที่ไปต้านสารลิวโคไตรอีน (Leukotriene) ซึ่งยาชนิดนี้จะใช้เป็นยาทางเลือกสำหรับคนไข้ที่ใช้ยาสูดพ่นไม่ได้ แม้โรคหืดจะเป็นโรคเรื้อรัง รักษาไม่หายขาด แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือให้การรักษาช้า โรคนี้จะมีอาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สมรรถภาพหรือความจุของปอดลดลงจนเกิดภาวะหลอดลมโป่งพองตามมาได้ ในทางตรงข้ามหากเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้สมรรถภาพของปอดทำงานได้ดี ไม่แย่ลง ในขณะเดียวกัน อาจจะเป็นการช่วยให้เด็กกลับมามีสมรรถภาพปอดที่ใกล้เคียงกับคนปกติได้มากขึ้น คุณหมอยังแนะนำให้เด็กๆ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่อีกด้วย เพราะการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มักจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีอาการหืดฉับพลันได้
ฉะนั้น เมื่อลูกมีอาการไอต้องคอยสังเกตให้ดีว่า เกิดจากสาเหตุอะไร จะได้รีบรักษาเสียแต่เนิ่นๆ เพราะเวลาเด็กๆ ไม่สบายน่าสงสารจริงๆ ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น