วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Keep your Heart Cool

Finally, summer is here again.  There is just so much food to choose from, especially those fattening dishes.  Furthermore, it is so hot that no one wants to do anything to heat up even more.  No one wants to break a sweat by exercising your entire body, so everyone just gives their mouth a workout causing a burden on your heart!
Dr. ApichaiPongpatananurak, a cardiologist at Samitivej Hospital, recommends that you start taking proper care of your health during the summer.  During summertime, people tend to get dehydrated causing the ventricles to work harder.  The veins then become dilated and not enough blood gets pumped up to brain, which, in turn, causes fainting spells.  If a person has heart disease, it may cause arrhythmia (abnormal heartbeat).
Some blood pressure medication contains diuretics.  Therefore, excessive sweating or not enough consumption of water may lower your blood pressure too much, resulting in black outs.  However, you can look for signs such as dizziness when changing from a sitting to a standing position. 
The best way to prevent this is to drink lots of water and avoid eating salty food during the summer.  Many people believe that sweet drinks will help them feel fresher, but, actually, plain water is the best refreshment.
Not only do you lose more water in the summer, you also lose potassium through sweating which leads to cramping.  If you have recurring cramps in the same place everyday, it may be that your muscles and nerves are constantly being stimulated.  Please consult your physician immediately.
People who are at risk during the summer are:
  1. If you’re a diabetic who don’t exercise during the summer and overeat, you may worsen your diabetes and gain more weight, which could lead to heart disease.  The best thing is to go to an air-conditioned fitness center or take up swimming to prevent excessive water loss.
  2. If you’re one of those who love outdoor sports such as running or playing golf, your body may not be able to release enough heat.  You may also have fainting spells and your kidney will work over time to remove wastes.
 What you should do during the summer:
  1. Watch what you eat!  Don’t get carried away with all the summer fruits that are high in cholesterol and triglycerides.
  2. Exercise regularly, but avoid outdoor sports.
  3. Do not over-exercise.
  4. Drink lots of water.  Normally, a person should consume 1,600 – 1,800 cc of water per day.  During the summer, water intake should be increased to 2,000 – 2,500 cc per day.
Fruit Temptations
Yes, summer has lots of delicious fruits, but they contain high amount of sugar and carbohydrates, the enemies of diabetics and accomplices of weight gain.  Durians, mangoes, and jackfruits are loaded with both of them.  Bananas are beneficial to growing kids, but adult diabetics should avoid them as well.  Dr. Apichai recommends that you stick with watermelons because they are low in sugar, but have lots of water, and are very refreshing.

ดูแลหัวใจอย่างไร ไม่ให้ “ร้อน”

ในที่สุดหน้าร้อนก็มาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง  อาหารการกินก็ละลานตาไปหมด หน้าร้อนเป็นช่วงที่ของอ้วนๆ อุดมสมบูรณ์ทั้งนั้น  แถมความร้อนยังทำให้ไม่อยากสะอิ้งกายทำอะไรทั้งนั้น เพราะจะเหงื่อไหล ไคลย้อย ไม่สบายเนื้อ ไม่สบายตัว เลยไม่คิดจะออกกำลังกาย ออกได้แต่กำลังปาก  ซึ่งจะลำบากหัวใจ
อาจารย์อภิชัย พงศ์พัฒนานุรักษ์ อายุรแพทย์ทางด้านหัวใจ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เล่าให้ฟังว่าการดูแลสุขภาพหัวใจในช่วงหน้าร้อน น่าจะเป็นการดูแลสุขภาพร่างกายของเราเองมากกว่า  คุณหมอจึงอยากแนะนำเรื่องการรับประทานอาหาร เพราะเป็นสาเหตุเริ่มต้นของโรคต่างๆ เช่น คอเลสเตอรอล ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ซึ่งจะส่งผลต่อการเป็นโรคหัวใจได้ ถ้าเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ยิ่งต้องระวังใหญ่เลย
สำหรับโรคหน้าร้อนที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ ก็คือ อาการเป็นลมซึ่งคนปกติทั่วไปสามารถเป็นลมได้ เพราะร่างกายขาดน้ำ เมื่อไหร่ที่ร่างกายต้องบีบหัวใจแรงขึ้นในสภาวะที่ขาดน้ำ หัวใจห้องล่างจะถูกกระตุ้นผ่านกระบวนการทางระบบประสาทบางชนิด (Reflex) ทำให้หลอดเลือดขยายตัวทั้งร่างกาย เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอจึงทำให้เป็นลม และหมดสติได้ง่าย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจแล้วเป็นลม อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจโดยเฉพาะการเต้นผิดจังหวะของหัวใจอย่างฉับพลัน ซึ่งถ้ารุนแรงมากก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ในกรณีนี้ก่อนที่จะเป็นลม มักจะมีอาการแน่นหน้าอก หรือใจสั่นนำมาก่อน แต่ถ้าอายุมากถึงแม้ไม่มีอาการนำ เพียงแค่เป็นลมธรรมดา ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง
สำหรับคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ในยาลดความดันบางชนิด จะมียาขับปัสสาวะอยู่แล้ว เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำมาก จะทำให้ความดันต่ำกว่าความเป็นจริงได้ เช่น เคยคุมความดันได้อยู่พอดิบพอดี แต่พอหน้าร้อน เสียเหงื่อมาก ดื่มน้ำไม่พอ ทำให้ความดันต่ำกว่าจริงก็จะส่งผลทำให้เกิดการเป็นลมหรือการทำงานของไตแย่ลงได้ ยาลดความดันที่ทานๆ กันอยู่ เช่น Taiazide ยาลดปัสสาวะ Lasix
อาจารย์อธิบายว่าถ้าความดันเริ่มต่ำผิดปกติให้สังเกตจากการเปลี่ยนท่าทาง เช่น จากนั่งเป็นยืน แล้วรู้สึกวูบๆ หรือมึนศีรษะ แสดงว่าความดันเริ่มต่ำลง หลายคนที่ต้องรับประทานยากลุ่มนี้อาจหงุดหงิด เผลอๆ แอบลดยาลงซึ่งอาจารย์บอกว่า ไม่ควรลดยา เพราะยาที่ได้จะปรับตามปัสสาวะที่ร่างกายขับออกมา ไม่ได้ปรับตามเหงื่อที่ขับออกมา ปัญหาเกิดจากการเสียเหงื่อเป็นหลัก เพราะฉะนั้นในช่วงหน้าร้อน อาจารย์แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ  ไม่ต้องเป็นกังวลว่าดื่มน้ำมากไปแล้วจะเป็นอันตราย ต่อคนที่เป็นโรคหัวใจ  ทั้งนี้ต้องดูด้วยว่าระบบการทำงานของไตยังดีอยู่หรือไม่ ถ้าไตทำงานปกติดีสิ่งที่ต้องกลัวคือการทานเค็มมากเกินไปจะทำให้โรคหัวใจเกิดภาวะการคั่งของเกลือ  เพราะยาขับปัสสาวะออกฤทธิ์โดยผ่านทางการขับเกลือเป็นหลัก และเกลือจะดูดน้ำ เมื่อเกลือออกจากร่างกาย น้ำก็ออกตาม ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการทานเค็มเป็นดีที่สุด 
เมื่อเป็นลมแล้ว หลายคนมีความเชื่อว่า “ควรจิบน้ำหวานเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้น” ข้อความนี้จะเป็นจริงสำหรับกรณีที่น้ำตาลในเลือดต่ำ อาจพบได้ในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งรับประทานยาเบาหวานมากเกินไป พอน้ำตาลต่ำทำให้เป็นลมได้ ดังนั้นการทานน้ำหวานจึงช่วยได้ แต่กรณีอื่นๆที่ไม่ได้เกิดจากน้ำตาลต่ำเพราะฉะนั้นเพียงแค่ดื่มน้ำเปล่าก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
ไหนๆ พูดเรื่องเป็นลม เพราะเสียเหงื่อแล้ว อาจารย์เลยแถมให้อีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยช่วงหน้าร้อน คือ ตะคริว เพราะอากาศร้อนทำให้สูญเสียเหงื่อได้มาก สิ่งที่ออกมากับเหงื่อนั้นมีทั้งน้ำและเกลือแร่ โดยเกลือแร่ที่ออกมากับเหงื่อนั่นคือ ร่างกายสูญเสียโปแตสเซียม ทำให้เกิดเป็นตะคริวได้ แต่ตะคริวที่เป็นแล้วย้ายที่ไปได้เรื่อยๆ นั้นไม่น่ากลัว จะมีตะคริวอีกแบบที่น่ากลัวคือ เป็นอยู่ที่เดิมซ้ำๆ บ่อยๆ  ทุกๆ วัน นั่นหมายถึง อาจจะมีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังทับรากประสาท  เพราะการเป็นตะคริวแบบนี้ คือ มีการกระตุ้นที่ปลายประสาทซ้ำๆ  ระบบประสาทปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นไม่คลาย จึงเกิดเป็นตะคริวอยู่ที่เดิม ถ้าใครมีอาการแบบนี้ล่ะก็ควรรีบปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด
 กลุ่มคนที่มักมีปัญหาในช่วงหน้าร้อน
  1. คนที่ไม่อยากออกกำลังกาย เพราะอากาศร้อนทำให้เสียเหงื่อมาก พอทานอาหารเข้าไปมาก กอปรกับไม่อยากออกกำลังกาย เป็นสาเหตุทำให้เบาหวานแย่ลง ไขมันในเลือดสูงขึ้น ทำให้เป็นโรคอ้วน แล้วก็จะส่งผลตามมาคือโรคหัวใจ ในช่วงหน้าร้อนอาจารย์แนะนำให้ออกกำลังกายโดยการเข้า  fitness หรือว่ายน้ำก็ได้ เพราะอุณหภูมิของห้องแอร์และความเย็นของน้ำจะช่วยให้ร่างกายไม่เสียเหงื่อมาก
  2. คนที่รักการออกกำลังกายและไม่ยอมหยุดออกกำลังกายในช่วงหน้าร้อน โดยเฉพาะกลางแจ้ง เช่นการวิ่ง หรือตีกอล์ฟ ร่างกายจะเสียเหงื่อมากกว่าปกติเพื่อปรับตัวในการระบายความร้อนให้ทัน ถ้าดื่มน้ำทดแทนไม่เพียงพอ ทำให้เหงื่อออกน้อยหรือไม่ออก ร่างกายก็จะระบายความร้อนไม่ทัน ทำให้เป็นลมได้ง่าย อีกทั้งของเสียที่ถูกขับออกทางไตต้องทำงานหนัก อาจส่งผลให้เกิดภาวะไตวายได้ง่าย วุ่นวายเข้าไปอีก
 การดูแลตัวเองในช่วงหน้าร้อน
  1. ทานอาหารอย่างมีสติ อย่าลืมตัวไปกับผลไม้หน้าร้อน ที่มีคอเลสเตอรอลและไตกรีเซอไรสูง จะส่งผลให้คุณเป็นโรคอ้วนซึ่งจะนำไปสู่โรคต่างๆ ได้ง่าย รวมทั้งโรคหัวใจ
  2. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬากลางแจ้งที่ต้องเสียเหงื่อปริมาณมาก
  3. ดื่มน้ำให้มากๆ ในภาวะปกติร่างกายคนเราจะต้องการน้ำประมาณ 1,600-1,800 CC ต่อวัน  แต่หากในช่วงหน้าร้อน ทำให้เราต้องเสียเหงื่อมากขึ้น ในขณะที่เราสังเกตได้ด้วยตัวเอง ควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นเป็นประมาณ  2,000-2,500 CC
ผลไม้หน้าร้อนที่ควรหลีกเลี่ยง
อาจารย์บอกว่าหน้าร้อนมีผลไม้อร่อยๆ ออกมาเยอะแยะ แล้วแต่ละอย่างมีทั้งน้ำตาลและแป้งสูงทั้งนั้น ทานเข้าไปมากๆ ก็ทำให้อ้วน โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือคอเลสเตอรอลสูงยิ่งควรระวังให้มาก อย่าได้เผลอเป็นอันขาด
อาจารย์เลยขอจัดอันดับความร้ายกาจของผลไม้หน้าร้อน ที่มีแต่แป้งและน้ำตาลสูง ไว้เตือนใจตามลำดับดังนี้ อันดับหนึ่งต้องขอยกให้ทุเรียน ทั้งกลิ่นและรสชาติที่หวานสะใจ ทานเข้าไปไม่เท่าไหร่มีหวังอ้วนฉุทันตาเห็น  แต่ทุเรียนยังมีข้อดีที่กลิ่นฝุ้งกระจายไปทั่วสารทิศ ทำให้บางคนที่ทนกลิ่นไม่ไหว พากันปวดหัว แล้วก็ทานกันไม่ได้เลยทีเดียว เรียกว่าเป็นโชคของคนนั้นไป รองลงมาก็คือขนุนและมะม่วง บางคนคิดว่าเฉพาะมะม่วงสุกเท่านั้นที่ทานแล้วอ้วน  จริงๆ แล้วมะม่วงดิบแม้จะมีน้ำตาลน้อยกว่าแต่ก็มีแป้งเป็นส่วนประกอบเยอะ ทานมากๆ ก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน  ถัดมาก็คือ กล้วย อาจมีประโยชน์สำหรับเด็ก เพราะร่างกายต้องการการเจริญเติบโต แต่สำหรับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนเป็นโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยงเพราะทั้งแป้งและน้ำตาลสูง ผลไม้ชนิดหนึ่งที่คุณหมออยากแนะนำให้ทานก็คือ  แตงโม เพราะแตงโมมีน้ำตาลไม่มาก แต่มีน้ำมากนัก  ทานแล้วเย็นชื่นฉ่ำ ดับกระหาย คลายร้อนได้อย่างดีทีเดียว

ดูแลด้วยหัวใจ จาก Generation to Generation

ดูแลด้วยหัวใจ จาก Generation to Generation
คุณศิรินลักษณ์ พลางกูร (คุณตวง)
“ไม่สบายเมื่อไหร่ ต้องนึกถึงสมิติเวชทันที มาที่นี่แล้วรู้สึกอบอุ่น เหมือนอยู่ที่บ้าน ประทับใจความดูแลเอาใจใส่ของทุกคน”
ถ้าเอ่ยชื่อคุณตวงที่สมิติเวช แล้วใครไม่รู้จักล่ะก็ คนนั้นต้องเชยแน่ๆ เลยค่ะ ทุกคนที่นี่รู้จักและสนิทกับคุณตวงแทบทุกคน ทุกแผนก ตั้งแต่รปภ. จนถึงห้อง ICU เพราะครอบครัวของคุณตวง ให้สมิติเวชดูแลมานานกว่า 30 ปีแล้วตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ มารุ่นคุณตวงและพี่สาว จนมาถึงรุ่นล่าสุดคือ ลูกชายคนเดียวของคุณตวง วันนี้ ไอเกิล โชคดีมีโอกาสได้พบกับคุณตวง เลยแอบขอสัมภาษณ์เรื่องราวของหัวใจ มาฝากคุณผู้อ่านกันค่ะ
คุณตวงบอกกับเราว่า “มาหาคุณหมอทุกด้าน ทุกอย่างเลยค่ะ ทั้งตรวจสุขภาพ ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อมาแล้ว เรียกว่า ถ้าปวดหัวตัวร้อนขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะต้องนึกถึงสมิติเวชล่ะค่ะ
เพราะมาหาคุณหมอหลายด้าน จึงไม่มีคุณหมอประจำตัวอะไรเป็นพิเศษ เป็นโรคไหนก็ให้คุณหมอผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านดูแลกันไป แต่ถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจก็จะมีคุณหมออรพร คอยดูแลเป็นประจำค่ะ
“ประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมา คุณแม่ป่วยหนัก เรียกว่าตอนนั้นต้องทำใจ คุณแม่ต้องอยู่ในห้อง ICU ประมาณ 3-4 เดือน ถึงสามารถออกมาพักฟื้นที่ห้องปกติได้ รวมแล้วประมาณ 5 เดือนเลยทีเดียว ตอนนั้นมีคุณหมอมาช่วยกันดูแลหลายเรื่อง ทั้งเบาหวาน ระบบไต ฯลฯ โดยคุณหมออรพรดูแลเรื่องหัวใจ” คุณหมออรพร เป็นคนดุมาก ลูกชายยังกลัวเลยค่ะ (แอบหัวเราะเบาๆ) แต่คุณหมอดุอย่างมีเหตุผล ต้องการให้คนไข้ที่มารับการรักษามีระเบียบวินัย ทานยาให้ถูกต้อง ตรงเวลา ทานให้ครบตามที่หมอสั่ง และจะต้องมาตรวจซ้ำเพื่อติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ตามที่คุณหมอนัดหมายทุกครั้ง ห้ามเบี้ยวเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกคุณหมอดุ ซึ่งตรงนี้ทำให้คุณตวงประทับใจ เพราะการที่คุณหมอเข้มงวดแบบนี้ ทำให้การรักษาของทุกคนในครอบครัวดีขึ้น จนหายเป็นปกติ ปัจจุบันคุณแม่ของคุณตวงยังสดใสและแข็งแรงเหมือนเดิม คุณตวงบอกว่าตลอดเวลาที่คุณแม่ของคุณตวงต้องมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ถึงแม้ว่าจะมีคุณหมอ พยาบาลและพนักงานดูแลเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม คุณตวงก็ยังคงมานอนที่โรงพยาบาล เพราะต้องการดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิด อยากอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา  ทั้งที่บ้านของคุณตวงเองอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลมาก เรียกว่าหลังบ้านแทบจะชนกัน ทำให้เชื่อว่า สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณแม่ของคุณตวงกลับมาแข็งแรงและหายเป็นปกติได้เหมือนเดิม นั่นคือ “ความรักและความเอาใจใส่จากใจของคุณตวง ที่มอบให้กับคุณแม่ คือ พลังและกำลังใจสำคัญที่ทำให้สามารถผ่านพ้นไปได้ค่ะ”
คุณตวงเล่าให้ ไอเกิล ฟังต่อ อย่างไม่มีกั๊กกันเลยค่ะ อย่างเคสของพี่สาวคุณตวง คุณตวงบอกว่า “ช่วงนั้นพี่สาวไปเที่ยวหัวหิน ก็ดูร่างกายปกติ แข็งแรงดี แต่อยู่ๆ ก็เกิดอาเจียนขึ้นมา คิดว่าคงเป็นไข้หรือแพ้อาหารธรรมดาๆ ก็เลยไปหาหมอแต่ก็ไม่หาย สุดท้ายมาหาคุณหมออรพร ตรวจเช็คอย่างละเอียด ปรากฎว่า หัวใจไม่ทำงานไป ซีก ต้องอยู่ห้อง ICU ประมาณ 1เดือน แต่ตอนนี้พี่สาวก็หายดีแล้ว แต่ก็ต้องมาพบคุณหมอเป็นประจำค่ะ”
ลูกชายเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และมีความดันสูงมากด้วย คุณตวงบอกว่าสาเหตุน่าจะมาจากกรรมพันธุ์ เพราะลูกชายเพิ่งจะอายุแค่ 34 ปีเอง แต่ความดันสูงมาก สำหรับคุณตวงเอง มาด้วยอาการชัก คุณหมอตรวจเช็คอย่างละเอียด ผลออกมาว่า คุณตวงเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ คุณหมอให้ทานยาควบคุมอาการชัก ซึ่งตอนนี้ดีขึ้นและร่างกายแข็งแรงเป็นปกติแล้ว  “สาเหตุคงมาจากอายุที่มากขึ้นและไม่เคยตรวจสุขภาพเลย” (อายุมากขึ้น แต่ทำไมผิวพรรณและรูปร่างยังดูดีขนาดนี้) เมื่อก่อนนี้คุณตวงเล่นกอล์ฟเป็นประจำ แต่หยุดเล่นมาปีกว่าแล้ว และช่วงนี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดีอย่างมาก
“งานหลักของตวงก็คือดูแลคุณแม่และดูแลพระ” ไม่ต้องงงค่ะ ดูแลพระสงฆ์นี่แหละค่ะ ตอนนั้นมีพระสงฆ์ท่านอาพาธ เป็นโรคเกี่ยวกับไต คุณตวงรู้จักกับคุณหมอที่ดูแลท่าน เลยเล่าให้ฟังว่าคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับไต จะต้องทานอาหารพิเศษ ซึ่งทำค่อนข้างยากและวุ่นวาย ด้วยความที่คุณตวงมีฝีมือในการทำอาหาร เพราะเคยเรียนที่ Le Cordon Bleu (ฝีมือขั้นเทพอีกต่างหาก) จึงรับอาสาทำมาถวาย จนท่านแข็งแรงสามารถกลับวัดได้ ด้วยความที่อาหารของคนเป็นโรคไตมีข้อจำกัดและข้อห้ามหลายอย่างและทำยากมาก ซึ่งที่วัดไม่สามารถทำได้ คุณตวงถึงกับลงทุนทำห้องครัวให้ใหม่ แล้วก็ยังคงเดินทางไปทำอาหารให้ท่านอยู่เป็นประจำจนถึงทุกวันนี้ค่ะ
แบบนี้เค้าเรียกว่าความสุขอยู่ที่ใจจริงๆ นะคะ แบบนี้นี่เองที่ทำให้คุณตวงดูสดใส เปร่งปลั่งอยู่ตลอดเวลา เพราะความสุขทางใจก็ส่งผลให้ทางกายได้อานิสงส์ไปด้วย คุณตวงบอกว่ารู้สึกสุขใจที่ได้ดูแลท่าน ทำให้เราได้เข้าใกล้ศาสนามากขึ้น เข้าใจธรรมะมากขึ้น และยังฝากข้อคิดดีๆ เพียงแค่คำเดียวคือ “ปล่อยวาง” โกรธได้ โมโหได้ แต่เมื่อรู้ตัวแล้ว ตั้งสติได้แล้ว ก็ต้องรู้จักปล่อยมันไป อย่าเก็บเอามาเคียดแค้น ชิงชัง ง่ายๆ สั้นๆ แค่นี้ก็ทำให้ใจเป็นสุขได้ทุกคนค่ะ

วัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก












มะเร็งปากมดลูกคืออะไร
ฉันจะเป็นไหม แล้วมีทางรักษาหรือเปล่า
แล้วฉันต้องทำยังไงถ้าจะไปตรวจ 


หลายๆ คนคงเคยได้ยินความร้ายแรงของ “มะเร็งปากมดลูก” แต่กลัวที่จะเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจ ถ้าอย่างนั้น ลองมาทำความรู้จักกับเจ้ามะเร็งตัวนี้กันก่อนดีไหม จะได้รู้ที่มาที่ไป และหาทางรับมือ ป้องกันได้อย่างทันท่วงที เพราะนั่นคือการดูแลสุขภาพของเรา มะเร็งปากมดลูก พบบ่อยในผู้หญิงช่วงอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป โดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ Oncogenic HPV ที่บริเวณปากมดลูก ซึ่งที่พบมากที่สุดราวๆ 70% ก็คือสายพันธุ์  HPV 16 และ HPV 18 ซึ่งเราสามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้หากยังไม่มีอาการ โดยแพทย์จะฉีดวัคซีน HPV ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรค เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกัน และเพื่อป้องกันรอยโรคของผู้หญิง เมื่อเริ่มฉีดครั้งแรก ก็ควรฉีดต่อเนื่องในระยะเวลาที่ต่างกันให้ครบ 3 เข็ม และหลังฉีด อาจเกิดอาการข้างเคียงบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย เช่น ปวด บวม แดง และคัน แต่ไม่รุนแรงมาก และจะหายไปในเวลาไม่นาน บางคนอาจเป็นไข้ แต่ก็จะหายไปเองเช่นกัน 

การฉีดวัคซีนตัวนี้ สามารถป้องกันได้อย่างได้ผล เพราะเป็นวัคซีนที่มีศักยภาพสูงในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงอย่างรุนแรง และเราสามารถรับวัคซีนได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 9-50 ปี การฉีดวัคซีนในเด็กผู้หญิงควรจะทำเมื่ออายุยังน้อย เพราะจะได้รับประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเด็กยังไม่มีเพศสัมพันธ์จึงยังไม่ได้รับเชื้อ นอกจากนี้เด็กยังสามารถตอบสนองและสร้างภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าผู้ใหญ่ 

 แต่การฉีดวัคซีน HPV ก็มีข้อห้ามสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิแพ้ (Hypersensitivity) ต่อสาร ประกอบในวัคซีน เช่น ยีสต์ และผู้ที่เคยมีภาวะภูมิแพ้หลังฉีดวัคซีน HPV ครั้งแรก เมื่อต้องการฉีดวัคซีนชนิดนี้ สิ่งที่ควรทราบก็คือ วัคซีนชนิดนี้ไม่สามารถใช้แทนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้  ไม่สามารถป้องกัน การติดเชื้อ HPV ได้ทุกราย ไม่สามารถรักษารอยโรคมะเร็งปากมดลูก ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อหรือรอยโรค ที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่นนอกจาก HPV 16 และ HPV 18 ได้  

รู้จักมะเร็งปากมดลูกกันแล้ว ก็อย่าลืมนัดคุณหมอเพื่อเข้าพบและตรวจ ป้องกันไว้เพื่อความปลอดภัยกันดีกว่า

ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

มะเร็งเต้านม รู้เร็ว ... ป้องกันเร็ว ... รักษาเร็ว

หลายๆ คนเมื่อได้ยินชื่อ “มะเร็งเต้านม” ก็แทบไม่อยากจะพูดถึง เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัว และมีผู้หญิงจำนวนมากที่ไม่อยากตรวจ “มะเร็งเต้านม” ทั้งกลัวว่าจะเกิดขึ้นจริง หรือรู้สึกเขินอายเมื่อต้องรับการตรวจ แต่รู้ไหมว่า ถ้ารู้ก่อน ก็ป้องกันได้ และรักษาได้เร็วก่อนจะลุกลาม เพราะมะเร็งชนิดนี้ พบบ่อยในผู้หญิงไทย โดยพบใน 1 ใน 10 ของผู้หญิง และมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปากมดลูก 

ใครมีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม 
•    ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ขึ้นไป
•    ผู้หญิงที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้ามนม รวมทั้งผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน
•    ผู้หญิงที่มีลูกเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้หญิงที่ไม่เคยมีลูก
•    ยีนส์เกิดการกลายพันธุ์ และสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
•    ผู้หญิงสูงอายุที่มีเต้านมเต่งตึงกว่าอายุ
•    ผู้หญิงที่มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี หรือประจำเดือนหมดช้า หลังอายุ 55 ปี
•    ผู้ที่รับประทานทานฮอร์โมนเพศหญิง หรือยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน
•    ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ 
อาการมะเร็งเต้านม 
ในระยะเริ่มต้น จะไม่มีอาการเจ็บ แต่ถ้าหากว่าเข้าสู่ระยะมะเร็งแล้ว จะเริ่มตั้งแต่
ระยะ 0 คือเป็นระยะแรกของมะเร็ง แต่ยังไม่ลุกลาม
ระยะ 1 มีก้อนมะเร็งขนาดเล็ก ไม่เกิน 2 เซนติเมตร และยังไม่ลุกลามสู่ต่อมน้ำเหลือง
ระยะ 2 ก้อนมะเร็งโตขึ้นเล็กน้อย และอาจลุกลามไปยังบริเวณรักแร้ หรือต่อมน้ำเหลือง แต่ยังไม่แพร่กระจายสู่อวัยวะอื่นๆ
ระยะ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร และลุกลามสู่ต่อมน้ำเหลือง
ระยะ 4 คือระยะสุดท้ายที่มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ แล้ว 

ตรวจเต้านมตนเองง่ายๆ ได้ทุกเดือน  
เพื่อช่วยให้เราสามารถป้องกันและรักษาได้ทันท่วงที โดยการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง เพื่อบ่งบอกวามผิดปกติที่เกิดขึ้น โดยเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป และทำต่อเนื่องหลังจากหมดประจำเดือนประมาณ 3-10 วัน เพราะเป็นช่วงที่เต้านมไม่คัดตึง ช่วยให้ตรวจได้ง่ายขึ้น และสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือมีการตัดมดลูก ควรตตรวจด้วยตัวเองทุกวันที่หนึ่งของเดือน หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที  
•    คลำพบก้อนที่เต้านม ซึ่งอาจกลายเป็นมะเร็งเต้านม
•    ขนาดและรูปร่างของเต้านมมีการเปลี่ยนแปลง
•    ผิวหนังเกิดรอยบุ๋ม ย่น หดตัว หรือหนาผิดปกติ และอาจมีสะเก็ด
•    หัวนมหดตัว มีอาการคัน หรือแดงผิดปกติ
•    เลือดออกจากหัวนม ซึ่งเป็นอาการที่อาจเป็นมะเร็งเต้านม
•    เจ็บบริเวณเต้านม รักแร้บวม เพราะต่อมน้ำเหลืองโตขึ้น 

รู้ทัน ... ป้องกันกระดูกพรุน

 







ผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้มากกว่าผู้ชาย โดยมักจะเกิดขึ้นหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่ง

ภาวะกระดูกพรุนนี้   เป็นสภาวะที่มวลกระดูกลดลง พร้อมกับมีการเสื่อมและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างภายในของกระดูก ส่งผลให้กระดูกเปราะบาง ความแข็งแรงลดลง และแตกหักได้ง่าย หากไม่ดูแลป้องกัน หรือรักษาอย่างถูกวิธี ก็อาจส่งผลทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน รวมถึงกระดูกหัก ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก 

โรคกระดูกพรุนนี้ แบ่งเป็น 2 ชนิด 
1. โรคกระดูกพรุนแบบปฐมภูมิ (Primary osteoporosis) มักเกิดขึ้นกับ 

หญิงวัยหมดประจำเดือน (Post-menopausal osteoporosis)
คนสูงอายุ (Senile osteoporosis)  
2. โรคกระดูกพรุนแบบทุติยภูมิ  (Secondary osteoporosis) มักเกิดกับผู้ที่ได้รับผลกระทบต่างๆ ซึ่งมีอันตรายต่อกระดูก
•    โภชนาการ คนที่ทานอาหารที่มีแคลเซียมต่ำ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ ทานเค็ม หรือทานเนื้อสัตว์มาก
•    ชีวิตประจำวัน ไม่ชอบออกกำลังกาย สูบบุหรี่จัด
•    โรคภัยไข้เจ็บ เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานหนัก ไตวายเรื้อรัง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ รังไข่ฝ่อ การตัดมดลูก ความผิดปกติของฮอร์โมน
•    ยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาทดแทนทัยรอยด์ ยากันชัก  ยาเตตร้าซันคลิน ยารักษาวัณโรค ไอโซไนเอซิค
•    รูปร่าง หากมีรูปร่างผอมบาง น้ำหนักตัวน้อย มีความเสี่ยงสูง 

อาการโรคกระดูกพรุน
ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยกระดูกพรุนจะมีกระดูกสันหลังยุบ โดยมีอาการปวดหลังเรื้อรัง และหากกระดูกสันหลังยุบหลายๆ ปล้อง หลังจะโก่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก ซึ่งมีอันตรายสูง จึงควรได้รับการป้องกันและรักษาโดยทันที  

การตรวจความหนาแน่นของกระดูก (BMD) 
วิธีนี้ ช่วยในการวินิฉัยเพื่อบ่งชี้ความหนาแน่นของมวลกระดูกในโรคกระดูกพรุน ผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจหนาแน่น คือ ผู้หญิงที่อยู่ระหว่าง และหลังหมดประจำเดือน ที่จะให้ฮอร์โมนทดแทน ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนก่อนวัย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีประวัติกระดูกเปราะหัก มีประวัติครอบครัวมีโรคกระดูกพรุน หรือกระดูกหัก มีน้ำหนักตัวน้อย และมีการใช้สารสเตียรอยด์เป็นเวลานาน    

เพื่อป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุน เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ควรทานแคลเซียมอย่างน้อย 1,200-1,500 มิลิกรัม และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอกจากนี้ ควรทานวิตามินดีเสริม ออกกำลังกายที่ช่วยในการลดน้ำหนัก เช่น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน และงดการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ พยายามหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการหกล้ม  แต่ถ้าหากตรวจพบว่ามีภาวะกระดูกพรุน  ควรได้รับการรักษาทางยาร่วมด้วย โดยปรึกษาแพทย์เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม 

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อีกระดับของการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม

ข้อเข่าเสื่อม อาการเสื่อมตามสภาพ หรือการสึกกร่อน ของกระดูกอ่อนผิวข้อที่ผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน  ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะเพศหญิง แต่ในปัจจุบันด้วยรูปแบบการใช้ชีวิต ที่หนักหน่วง เช่น การเล่นกีฬาผิดท่า การขึ้นลงบันไดบ่อยๆ หรือน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น หากมีอาการ ปวดข้อเข่า ข้อเข่าขัด รู้สึกเมื่อยตึงที่น่อง มีเสียงลั่นที่ข้อเวลาเดินหรือเคลื่อนไหว เดินไม่สะดวก  หากปล่อยไว้นานจนถึงระยะรุนแรง อาจถึงขั้นเดินไม่ได้ ด้วยพัฒนาการทางการแพทย์  และเทคโนโลยีแบบแผลเล็กเจ็บน้อย Minimally Invasive Surgery  ช่วยให้การรักษาการผ่าตัดข้อเข่าเทียมง่ายยิ่งขึ้น  ช่วยให้เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว ความเสียหายต่อเนื้อเยื้อภายในน้อยลง อาการปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า ช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ปกติเร็วขึ้น  พร้อมด้วยมาตรฐานการรักษาโรคเฉพาะทางระดับสากล โรคข้อเข่าเสื่อม แห่งแรกในประเทศไทย  ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสหสาขาวิชา  ที่ได้รับการรับรองจาก JCI สถาบันรับรองคุณภาพระดับสากลแห่งสหรัฐอเมริกา

Minimally Invasive Surgery
คือพัฒนาการทางการแพทย์ และเทคโนโลยีแบบแผลเล็กเจ็บน้อย  ที่ ช่วยให้การรักษาการผ่าตัดข้อเข่าเทียมง่ายยิ่งขึ้น เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว อาการปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า ช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ปกติเร็วขึ้น พร้อมด้วย มาตรฐานการรักษาโรคเฉพาะทางระดับสากล โรคข้อเข่าเสื่อมแห่งแรกในประเทศไทย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสหสาขาวิชา  ที่ได้รับการรับรองจาก JCI สถาบันรับรองคุณภาพระดับสากลแห่งสหรัฐอเมริกา

คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไม่ ใช่ ไม่ใช่
1. เพศชาย หญิง อายุ 40 ปีขึ้นไป
2. มีน้ำหนักตัวมาก (ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25)
3. มีกิจวัตรการทำงาน ที่ต้องเดินอยู่ตลอดเวลา
4. มีอาการเข่ายืด ฝืด หรืองอ ลำบาก
5. มีเสียงดังก๊อบ แกร๊บ ที่เข่าขณะเคลื่อนไหว
6. มีอาการปวดที่ข้อเข่า หรือขาเวลาเดิน หรือลงบันได
7. มีอาการปวด เจ็บแปล๊บ ที่ข้อเข่าเวลาเดิน
8. มีอาการปวดข้อเข่าเวลานอน
9. มีปัญหาปวดข้อเข่าเวลาใส่ถุงเท้า รองเท้า หรือขณะลุกนั่ง
10. มีอาการปวดปวมอักเสบที่ข้อเข่า
11. ไม่สามารถเดินได้ปกติ ต้องเดินโยกตัว
12. ขาโก่งงอผิดรูป

สัญญาณเตือนภัย!
หากคุณมีอาการเหล่านนี้มากกว่า 3 ข้อขึ้นไป คุณอาจมีความเสี่ยงต่อโรคข้อเข่าเสื่อม หากปล่อยไว้นานจนถึงระยะรุนแรง อาจเป็นหนักขั้นเดินไม่ได้ เพื่อชะลอความเสื่อมให้ช้าลง และได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ให้สามารถดำเนินคุณภาพชีวิตได้ตามปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ครั้งแรกในประเทศไทย
มาตรฐานการรักษาระดับสากล การดูแลรักษาโรคเฉพาะทางสำหรับผู้ป่วย โรคข้อเข่าเสื่อม (Disease or Condition Specific Care Certification Osteoarthritis of the Knee) ได้รับการรับรองจาก JCI สถาบันรับรองคุณภาพระดับสากลแห่งสหรัฐอเมริกา

นพ.บัญญัติ  เกตุมาลาศิริ
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

กระดูกสันหลังเสื่อม

หากคุณ... มีอาการเหล่านี้ !!!

  • ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ
  • ปวดคอ ปวดหลังเรื้อรัง
  • ปวดต้นคอร่วมกับมีอาการร้าวมาบริเวณแขน หรือขา
  • ปวดหลังมากจนร้าวลงขา หรือเท้า
  • ปวดหลังเป็นๆ หายๆ และมีอาการชาขาร่วมด้วย
  • ปวดจากท้ายทอยขึ้นศีรษะ คิดว่าเป็นไมเกรน ซื้อยากินเอง ทั้งที่ไม่ได้เป็น
  • เดินได้ไม่ไกล อ่อนล้ากล้ามเนื้อขาเวลาเดิน
“กระดูกสันหลังเสื่อม” เป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดหลัง ที่พบบ่อยในคนสูงอายุ ตลอดจนคนที่มีพฤติกรรมการ ใช้ชีวิตแบบผิดๆ เช่น การนั่งผิดท่า หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ นอนขดตัว ยกของหนักบ่อยๆ  อุบัติเหตุต่างๆ รวมถึงจากการเล่นกีฬาผิดท่า

ถ้ายังตีความผิด คิดว่าอาการปวดเหล่านี้เป็นเพียงอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อและปล่อยให้ลุกลามรุนแรง อาจส่งผลให้เกิดการลุกลามจนถึง ขั้นกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทได้ และสุดท้ายอาจเป็นอัมพาตในที่สุด

"การผ่าตัดรักษาโรคกระดูกสันหลังผ่านกล้อง ด้วยระบบคอมพิวเตอร์นำวิถี Navigation System ร่วมกับการรักษาแบบแผลเล็กเจ็บน้อย ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 1.5  ซม.และลดความเสี่ยงของการผ่าตัด มีความแม่นยำปลอดภัยสูง เสียเลือดน้อย ลดอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การบาดเจ็บ ต่อเส้นประสาทไขสันหลัง และฟื้นตัวเร็ว"

นายแพทย์ชลัท วินมูน
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระดูกสันหลัง

รับคำปรึกษาได้ที่ Sports & Orthopedic Center by Samitivej

หากคุณ... อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้

หากคุณ... อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้
  • ชอบเล่นกีฬาหักโหม หรือเล่นกีฬา เทนนิส แบดมินตัน กอล์ฟ ว่ายน้ำ ปีนเขา หรือวอลเลย์บอล
  • เคยเกิดอุบัติเหตุไหล่หลุดจากการเล่นกีฬา
  • อาจส่งผลให้เกิดอาการไหล่หลุดได้ เพราะข้อต่อมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด  เมื่อมีโอกาสหลุดครั้งหนึ่งแล้วจะมีโอกาสหลุดซ้ำอีกเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักกีฬา  จะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี และฟื้นตัวโดยเร็ว พร้อมเพิ่มสมรรถภาพให้ กล้ามเนื้อไหล่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ
อาจส่งผลให้เกิดอาการไหล่หลุดได้ เพราะข้อต่อมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด  เมื่อมีโอกาสหลุดครั้งหนึ่งแล้วจะมีโอกาสหลุดซ้ำอีกเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักกีฬา  จะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี และฟื้นตัวโดยเร็ว พร้อมเพิ่มสมรรถภาพให้ กล้ามเนื้อไหล่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ

ด้วยนวัตกรรมการผ่าตัดส่องกล้อง (Arthroscopic Shoulder Surgery) ช่วยรักษาปัญหาข้อไหล่ติดจากการเล่นกีฬา ด้วยการผ่าตัดแบบแผลเล็กเจ็บน้อย เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว พร้อมกับมีการฟื้นฟูสมรรถภาพกล้ามเนื้อไหล่ และแขนจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Sports Medicine ให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น โดยสามารถกลับไปสนุกกับทุกจังหวะการเล่นกีฬาของคุณได้ดังเดิม



นายแพทย์วีรยุทธ  ชยาภินันท์
ศัลยแพทย์ด้าน Sports Medicine & Arthroscopic
ผมอยากเห็นทุกคนได้สนุกกับทุกจังหวะของการเล่นกีฬา อาการปวดไหล่ ถึงแม้จะเล็กน้อย เพราะอาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญหา (Begining of The End) ที่คุณก็คาดไม่ถึง

ภาวะมีบุตรยากคืออะไร

              ภาวะมีบุตรยาก  หมายถึง  การที่คู่สมรสไม่สามารถมีบุตรได้  ทั้งที่มีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอโดยไม่ได้คุมกำเนิดเป็นเวลาอย่างน้อย  1  ปี ภาวะนี้พบได้ประมาณ  15% ของคู่สมรส  หรือ  15 คู่ ใน 100  คู่สมรสที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่  จะเห็นว่ามีคู่สมรสจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่สามารถมีบุตรได้ตามธรรมชาติ  และจำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการช่วยให้ตั้งครรภ์  

สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก  เกิดได้จาก
              - ฝ่ายชายประมาณ  40%
              - ฝ่ายหญิงประมาณ  50%
              - ไม่พบสาเหตุประมาณ  10-15%
              สาเหตุของการมีบุตรยากในฝ่ายชาย  (male factor)  เกิดจากความผิดปกติของน้ำเชื้ออสุจิ  ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน   ส่วนสาเหตุของการมีบุตรยากในฝ่ายหญิง   อาจเกิดจาก
              - ความผิดปกติของท่อนำไข่และเยื่อบุช่องท้องพบได้ประมาณ  35%
              - ความผิดปกติของการตกไข่พบได้ประมาณ  35%
              - ความผิดปกติของมดลูก และปากมดลูก   พบได้ประมาณ 5%
              - ความผิดปกติของช่องคลอด ซึ่งพบได้น้อยมาก
              - ปัจจัยอื่น ๆ   เช่น  ความเครียด, โรคประจำตัว,   มีปัญหาในการมีเพศสัมพันธ์
              นอกจากนี้ในปัจจุบันสตรีมีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น   ซึ่งเป็นสาเหตุให้แต่งงานสร้างครอบครัวช้า   จึงแต่งงานเมื่ออายุมากขึ้น   ผลที่ตามมาคือ ทำให้มีบุตรยากขึ้น  ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงอาจเป็นสาเหตุของการมีบุตรยากได้  ดังนั้นการตรวจหาสาเหตุและรักษาภาวะมีบุตรยากจึงจำเป็นต้องตรวจรักษาทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
การรักษาภาวะมีบุตรยาก
              ในเบื้องต้นแพทย์จะตรวจหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยากและรักษาสาเหตุที่แก้ไขได้  แต่มีหลายสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้  จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Assisted Reproductive Technology:ART)  ช่วยให้คู่สมรสมีบุตรได้   
อัตราการตั้งครรภ์นี้ขึ้นกับอายุของฝ่ายหญิงด้วย  ถ้าฝ่ายหญิงอายุน้อย  โอกาสสำเร็จจะสูง  และโอกาสการตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนรอบของการรักษาด้วย
การผสมเทียม หรือการฉีดน้ำเชื้ออสุจิเข้าโพรงมดลูก  (Intrauterine insemination   (IUI))
              เป็นวิธีที่ง่าย ๆที่แพทย์จะใช้เครื่องมือฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิงในช่วงที่ไข่ตก   เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิกันเองระหว่างไข่ กับอสุจิ    โดยหลังจากการฉีดเชื้อจะให้ฝ่ายหญิงนอนพักประมาณ 10-20 นาที     วิธีนี้มีอัตราการตั้งครรภ์ ประมาณ 10-15 % ต่อรอบการรักษา    
              วิธีนี้เหมาะสำหรับคู่สมรสที่อายุยังไม่มาก  และสาเหตุของภาวะมีบุตรยากเกิดจากฝ่ายชาย (male factor)   หรือเป็นภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ (unexplained infertility)
              วิธีนี้มีข้อจำกัด คือใช้ได้เฉพาะในกรณีที่ฝ่ายหญิงมีท่อนำไข่ที่ปกติ ไม่อุดตัน  และฝ่ายชายควรมีตัวอสุจิที่เคลื่อนไหวได้อย่างน้อย 5 ล้านตัว



              โดยทั่วไปโอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติในแต่ละรอบเดือนของคู่สมรสที่ปกติคือ 20-25 %  ในกรณีที่ฝ่ายหญิงอายุตั้งแต่ 35 ปีขี้นไป แค่15 % แต่คู่สมรสที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยากจะมีอัตราตั้งครรภ์ที่น้อยกว่านี้มาก
              ดังนั้นการฉีดเชื้ออสุจิจะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้ใกล้เคียงปกติ   ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุของการมีบุตรยาก และอายุของฝ่ายหญิงด้วย   ในบางกรณีอาจพบอัตราการตั้งครรภ์สูงกว่านี้ได้
ความเสี่ยงจากการทำ IUI
              - ในการกระตุ้นไข่ร่วมกับการทำ IUI อาจพบปัญหากระตุ้นไข่ไม่สำเร็จหรือ รังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไปได้
              - การตั้งครรภ์แฝด
              - การตั้งครรภ์นอกมดลูก
              - การแท้ง
              - การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
การทำกิ๊ฟ (Gametes Intrafallopian Tube Transfer (GIFT))
              เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์วิธีหนึ่งซึ่งมีมาก่อนเด็กหลอดแก้ว  โดยมีการนำเซลล์ไข่และอสุจิที่ยังไม่ได้ปฏิสนธิกัน  ย้ายเข้าไปใส่ในท่อนำไข่ของฝ่ายหญิงโดยการผ่าตัดส่องกล้อง   โดยคาดหวังว่า  ไข่และอสุจิจะปฏิสนธิกันเอง  เจริญไปเป็นตัวอ่อนและเดินทางไปฝังตัวในโพรงมดลูกจนเกิดการตั้งครรภ์ได้    วิธีนี้มีอัตราการตั้งครรภ์ประมาณ 30% ต่อรอบการรักษา
              ข้อจำกัด คือ  ฝ่ายหญิงต้องมีท่อนำไข่ที่ปกติอย่างน้อย 1 ข้าง  และต้องใช้การผ่าตัดส่องกล้องด้วยทำให้ฝ่ายหญิงต้องเสี่ยงต่อการดมยาสลบและการผ่าตัดในช่องท้อง
การปฏิสนธินอกร่างกายหรือเด็กหลอดแก้ว (In  Vitro  Fertilization  (IVF))
              การทำเด็กหลอดแก้วหรือการปฏิสนธินอกร่างกาย  เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์วิธีหนึ่งที่มีการนำเซลล์ไข่ของฝ่ายหญิงและตัวอสุจิของฝ่ายชายมาผสมกันในจานทดลองภายในห้องปฏิบัติการเลี้ยงตัวอ่อน  เมื่อเกิดการปฏิสนธิ  มีการแบ่งเซลล์เป็นตัวอ่อน  แพทย์จะทำการย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิงเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์
              ตัวอ่อนอาจอยู่ในระยะ  4  เซลล์หรือ  8  เซลล์  หรือระยะบลาสโตซิสต์  ขึ้นกับระยะเวลาที่เลี้ยงและคุณภาพของตัวอ่อนในคนไข้แต่ละราย  ถ้าตัวอ่อนคุณภาพดีมีจำนวนมากจะสามารถเลี้ยงถึงระยะบลาสโตซิสต์ได้ (Blastocyst Culture) ซึ่งเป็นระยะฟักตัวของตัวอ่อนก็จะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้



คู่สมรสที่ควรได้รับการรักษาด้วยการปฏิสนธินอกร่างกาย
              - ท่อนำไข่อุดตัน
              - มีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก
              - ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
              - ปัญหาเชื้ออสุจิมีความผิดปกติ
              - ภาวะมีบุตรยากที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
              - ภาวะมีบุตรยากมาเป็นเวลานานโดยไม่ทราบสาเหตุ
              Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI) อิ๊กซี่ เป็นวิธีช่วยการปฏิสนธิโดยการฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่  ในการทำเด็กหลอดแก้ว จากนั้นทำการเลี้ยงตัวอ่อนตามขั้นตอนของการทำเด็กหลอดแก้วทุกประการ  นิยมใช้ในกรณีที่อสุจิมีน้อยผิดปกติ  หรือฝ่ายชายน้ำเชื้ออสุจิมีน้อยมากต้องใช้การผ่าตัดเพื่อนำอสุจิจากอัณฑะมาใช้  เช่น   พีซ่า PESA (Percutaneous Epididymal Sperm Aspiration),  ทีซ่า /เทเซ่TESA/TESE (Testicular Sperm Aspiration /Extraction)
อัตราความสำเร็จ
              อัตราการตั้งครรภ์จากการรักษาด้วยวิธีนี้ประมาณ  30%  ทั้งนี้ขึ้นกับอายุฝ่ายหญิงและคุณภาพอสุจิด้วย  อัตราการตั้งครรภ์แฝดอาจพบได้ถึง  30%    อัตราการเกิดทารกที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด  จากการรักษาด้วยวิธีนี้  ไม่แตกต่างจากทารกที่เกิดจากการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ
โดยทั่วไปโอกาสที่จะตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ    ในแต่ละรอบเดือนหนึ่ง  ในคู่สมรสที่ปกติคือ  20-25%  เท่านั้น  แต่ในคู่สมรสที่มีบุตรยากโอกาสที่จะตั้งครรภ์ตามธรรมชาติในแต่ละรอบเดือนจะต่ำกว่านี้มาก      ซึ่งการรักษาภาวะมีบุตรยากจะเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ในผู้มีบุตรยากให้ใกล้เคียงกับคนปกตินั่นหมายความว่าอาจต้องมีการรักษามากกว่าหนึ่งรอบเพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้นถึง 70%
การตรวจโครโมโซมก่อนการฝังตัวของตัวอ่อน (PGD)
              PGD คือการตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม ก่อนการฝังตัวของตัวอ่อนอย่างละเอียดในระดับยีน และโครโมโซม ทำให้เราสามารถคัดกรองเอาตัวอ่อนที่มีความผิดปกติออกไปได้ อาทิ ในรายที่มียีนแฝงของโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นต้น
ใครควรจะต้องเข้ารับบริการทำ PGD
              คู่สมรสที่มีความเสี่ยงสูงในการมีทารก ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ตัวอย่างเช่น มารดาอายุเกิน 35 ปี มีประวัติการแท้งซ้ำ มีประวัติความผิดปกติของโรคทางพันธุกรรม ทั้งในส่วนของโครโมโซม และ ยีน
              นอกจากนี้ในรายที่มีปัญหามีบุตรยาก ได้รับการทำเด็กหลอดแก้วหลาย ครั้ง ไม่ประสบผลสำเร็จ สาเหตุสำคัญอาจเกิดจากตัวอ่อนที่ย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกมีโครโมโซมที่ผิด ปกติ ดังนั้นการทำ PGD จะช่วยให้เราคัดเลือกเฉพาะตัวอ่อนที่มีโครโมโซมปกติเท่านั้น ใส่กลับเข้าโพรงมดลูก และพบว่าจะทำให้โอกาสการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นได้
วิธีการตรวจวิเคราะห์ทาง PGD มี 2 วิธีดังนี้
1. FISH 
              เป็นการตรวจวิเคราะห์ที่ต้องใช้ตัวจับจำเพาะ ที่มีความสามารถในการเรืองแสง( fluorescent probe) กับโครโมโซมคู่ที่ต้องการตรวจ โดยทำการดูดตัวอย่างเซลล์มาทำการย้อม และตรวจดูภายในกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ (fluoresent microscope) จะทำให้เราสามารถตรวจนับ จำนวนโครโมโซมที่ขาดหรือเกินได้ โดยทั่วไปในประเทศไทยนิยมใช้ probe ชนิด 5 สี เพื่อตรวจดูโครโมโซม X,Y,13,18 และ 21 เป็นต้น
2.PCR
              เป็น การตรวจวิเคราะห์ความผิดปกติของตัวอ่อนในระดับยีน โดยหลังจากการดูดตัวอย่างเซลล์มาแล้ว จะต้องนำไปเพิ่มจำนวนของ DNA ให้ได้ปริมาณมากพอแล้วจึง นำไปตรวจหาโรคผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคเลือดจางธาลัสซีเมีย, Cystic fibrosis เป็นต้น
ขั้นตอนในการทำ PGD โดยวิธี FISH หลังจากเข้ารับบริการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ ICSI เพื่อให้มีตัวอ่อนจำนวนมากพอในการตรวจวิเคราะห์
              1. เลี้ยงตัวอ่อนเหล่านั้น ให้โตถึงระยะที่เหมาะสม
              2. ทำการดูดเซลล์ออกมาจากตัวอ่อน เพื่อใช้เป็นตัวแทนเซลล์ในการทดสอบ
              3. นำเซลล์ที่ได้ไปย้อมกับ Specfic probe ที่เรืองแสง อ่านผลที่ได้ภายใต้ fluorescent microscope ร่วมกับการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์

ทำ PGD มีผลกระทบต่อพัฒนาการของตัวอ่อนหรือไม่
              จากการศึกษาพบว่า การดูดตัวอย่างเซลล์ 1-2 เซลล์ ในระยะ 6-8 เซลล์ และการดูดเซลล์ ส่วนที่จะกลายเป็นรก (Trophectoderm) ในระยะ blastocyst ไม่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อน และเด็กทารกที่เกิดจะมีอัตราความผิดปกติแต่กำเนิด ใกล้เคียงกับทารกที่เกิดโดยการทำเด็กหลอดแก้วทั่วไป
(ร้อยละ 1.7)
ข้อจำกัดในการตรวจ PGD
              ในปัจจุบันยังไม่สามารถตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมมนุษย์ได้ครบทั้ง 23 คู่ ( 46 โครโมโซม) โดยทั่วไปเราจึงนิยม ตรวจเฉพาะโครโมโซมที่เป็นปัญหาบ่อย 5 คู่ หรือ 7 คู่เท่านั้น ได้แก่ โครโมโซมคู่ที่ 13,18,21,X, และ Y โดยวิธีการที่เรียกว่า Fluorescent in Situ Hybridisation - FISH และถ้าต้องการตรวจโรคที่ถ่ายทอดโดยยีนเดี่ยว (Single gene defect) ต้องทำโดยวิธี Polymerase chain reaction (PRC) ซึ่งจะเป็นการตรวจเฉพาะโรคนั้นๆ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
              กลุ่มอาการที่รังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป  (Ovarian Hyperstimulation Syndrome:OHSS)     ในการรักษาภาวะมีบุตรยากต้องมีการใช้ยากระตุ้นไข่ตกเพื่อให้ได้ไข่หลายใบจึงจะเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้   ยาอาจทำให้ได้จำนวนไข่มากและมีไข่ตกมากถึง 20 ใบได้ หลังไข่ตกผู้ป่วยที่มีภาวะ OHSSจะมีอาการท้องอืด มีน้ำในช่องท้อง หายใจลำบาก เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ  อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเองใน 2-3 สัปดาห์ ถ้าไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น   ถ้ามีอาการมากอาจต้องนอนพักในโรงพยาบาล
              การตั้งครรภ์แฝด   อาจพบได้ถึงร้อยละ  30    ของการรักษาภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากมีไข่ตกหลายใบจากยากระตุ้นไข่ตก   แต่ปัจจุบันในการทำเด็กหลอดแก้วแพทย์จะใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไปในโพรงมดลูกน้อยลงโดยมักใส่ไม่เกิน3   ตัวอ่อน  ในต่างประเทศมีการใส่เพียง 1- 2 ตัวอ่อนเท่านั้น เพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์แฝดเนื่องจากการตั้งครรภ์แฝด จะมีปัญหาตามมาทั้งต่อมารดา และทารก เช่น การแท้ง  การคลอดก่อนกำหนด สูงกว่าการตั้งครรภ์เดี่ยว     
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และ เวลาทำการ
ศูนย์ผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์  ให้บริการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากโดยเฉพาะ 
ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8-17 น.
ART  Night Clinic (คลินิกพิเศษสำหรับผู้มีบุตรยาก) ทุกวัน จันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา  17-20 น. 
สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่ศูนย์ผู้มีบุตรยาก ชั้น 4  โทร 0-2378-9129-30
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สูติ นรีแพทย์ดูแลหญิงตั้งครรภ์ อาการแทรกซ้อน (High Risk Pregnancy) ผ่าตัดด้วยกล้องลาปาโรสโคปทางนรีเวชและรักษาผู้ป่วยมีบุตรยาก

แพทย์หญิงณัฐยา รัชตะวรรณ 
สูติ นรีแพทย์ดูแลหญิงตั้งครรภ์ อาการแทรกซ้อน (High Risk Pregnancy) ผ่าตัดด้วยกล้องลาปาโรสโคปทางนรีเวชและรักษาผู้ป่วยมีบุตรยาก
สูติ นรีแพทย์ ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ผ่าตัดด้วยกล้องลาปาโรสโคปทางนรีเวช รักษาผู้ป่วยมีบุตรยากและสตรีวัยทอง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์เมธาพันธ์ กิจพรธีรานันท์ 
สูติ นรีแพทย์ ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ผ่าตัดด้วยกล้องลาปาโรสโคปทางนรีเวชและรักษาผู้ป่วยมีบุตรยาก
สูติ นรีแพทย์ ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และรักษาผู้ป่วยมีบุตรยาก
แพทย์หญิงนุชชฎา แก้วเกิด 
สูติ นรีแพทย์ ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และรักษาผู้ป่วยมีบุตรยาก

ทำอย่าไร.. เมื่อลดเท่าไหร่ก็ไม่ลง


หลายๆคนคงเคยเจอกับปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน และรู้สึกเป็นเรื่องยากที่จะลดน้ำหนักลงเพียงแค่ 2-3 กิโล ทั้งออกกำลังกายและควบคุมอาหาร แต่พยายามเท่าไหร่ก็ลดไม่ลงสักที เพราะการที่มีน้ำหนักเกินนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีอาจเป็นสาเหตุซ่อนเร้นที่เรานึกไม่ถึง จึงทำให้การลดน้ำหนักไม่ประสบความสำเร็จสักที

นักวิจัยพบว่าการอักเสบเรื้อรังเป็นผลมาจากการทานอาหารแบบ SAD “Standard American Diet” ที่รับประทานแล้ว ต้องเศร้า เพราะ SAD ก็คืออาหารสไตล์อเมริกันที่มีน้ำตาลสูง มีไขมันแปลงรูปสูง (Trans fat พบในกลุ่มเบเกอรี่ และอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ) มีกรดไขมันโอเมก้า 6 สูง (พบมากในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง ที่มักใช้มาปรุงอาหาร) แต่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ต่ำ นอกจากนั้น นักวิจัยยังพบว่าการรับประทานอาหารที่แพ้ หรือที่ร่างกายรับไม่ได้เป็นประจำ (Food sensitivity หรือ Food intolerance) ก็ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังแบบน้อยๆ และทำให้เกิดอาการบวมน้ำร่วมด้วย

เมื่อรับประทานอาหารไม่เหมาะสมแล้ว ก็จะเกิดการสะสมเซลล์ไขมันในร่างกายไปเรื่อยๆ ซึ่งไขมันเหล่านั้นไม่ได้แฝงตัวอยู่เฉยๆ แต่จะสร้างสารเคมีแห่งการอักเสบออกมาด้วยตัวหนึ่งก็คือ CRP ทำให้ร่างกายและสมองดื้อต่อฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมน้ำหนัก ตัวแรกคือ “เลปติน (Leptin)” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่บอกให้คุณรู้ว่าคุณอิ่มแล้ว ถ้าคุณเกิดดื้อต่อ เลปตินขึ้นมาก็ทำให้ ทานเยอะขึ้น อิ่มยาก ตัวที่สองคือ “อินซูลิน (Insulin)” การอักเสบเรื้อรังจะเข้าไปรบกวนการทำงานของอินซูลิน ถ้าเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ก็จะมีระดับอินซูลินในเลือดสูง ซึ่งจะไปยับยั้งการสลายไขมัน ทำให้คุณมีไขมันสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พุงใหญ่ขึ้น และภัยร้ายในอนาคตก็คือ เบาหวาน นั่นเอง

และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุของการลดน้ำหนักไม่ลงของหลายๆคนในปัจจุบัน แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ คุณสามารถตรวจวัดการอักเสบเรื้อรังในร่างกายได้โดยวิธีตรวจเลือด เช่น

CRP (C-Reactive Protein) Test เป็นการวัดหาระดับ CRP ซึ่งเป็นโปรตีนที่บอกถึงการอักเสบในร่างกาย ซึ่งการตรวจนี้บางครั้งเอามาใช้หลังการผ่าตัด หลังรักษาภาวะติดเชื้อ หรือใช้ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต ซึ่งช่วยประเมินการอักเสบที่ผนังหลอดเลือดแดงได้

Fasting Blood Insulin Test เป็นการวัดระดับอินซูลินในเลือด หลังอดอาหารนาน 10-12 ชั่วโมง อินซูลินที่สูง เป็นตัวบอกได้ว่าร่างกายมีการอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้นแล้ว ระดับอินซูลินในเลือดหลังอดอาหารยิ่งสูง แสดงว่าการอักเสบยิ่งมาก

เมื่อทราบผลการตรวจแล้ว คุณก็จะทราบว่าการอักเสบเรื้อรังเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คุณลดความอ้วนไม่ลงหรือไม่ จากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะการหาแนวทางการดูแลสุขภาพที่ตรงกับความต้องการของร่างกายคุณอย่างแท้จริงนั้น คุณสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ที่ไลฟ์เซ็นเตอร์ ได้ค่ะ ฟังอย่างนี้แล้วค่อยมีกำลังใจในการลดน้ำหนัก ให้ฟิตแอนด์เฟิร์มกันหน่อยใช่ไหมคะ

ศูนย์โรคภูมิแพ้

                โรคภูมิแพ้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยแพ้ต่อสารบางอย่างที่เข้าร่างกายเกิดปฏิกิริยา จึงทำให้เกิดโรคขึ้น โรคภูมิแพ้มีหลายชนิด เช่น โรคหืด โรคแพ้อากาศ ผื่นภูมิแพ้ ลมพิษ แพ้อาหาร เป็นต้น

                ปัจจุบันอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้ในประเทศไทยและทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาก เช่น โรคหืดในเด็กไทยได้เพิ่มจากเมื่อ 15 ปีก่อนจากร้อยละ 4.2 เป็นร้อยละประมาณ 13 ในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะสารก่อภูมิแพ้รอบตัวเรามีมากขึ้น อย่างไรก็ตามวิทยาการทางการแพทย์ได้ก้าวหน้าไปมาก ทำให้เราเข้าใจกลไกการกำเนิดของโรคได้ดีขึ้น ซึ่งทำให้แพทย์ ซึ่งทำการวินิจฉัยได้แม่นยำขึ้น การรักษาดีขึ้นตลอดจนมีวิธีการป้องกันได้ผลมากขึ้นด้วยเหตุนี้ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ จึงได้จัดตั้งศูนย์โรคภูมิแพ้ขึ้นโดยจัดหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อบริการตรวจรักษาผู้ป่วยให้ได้ผลดีที่สุด
เปิดให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในลักษณะครบวงจร
การให้บริการ / บริการที่จัดให้
                1. ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ อันได้แก่ โรคหอบหืด โรคแพ้อากาศ โรคแพ้อาหาร โรคแพ้ยา โรคผื่นลมพิษ โรคไซนัสอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากภูมิแพ้ เป็นต้น
                2. ให้การวินิจฉัยและรักษาเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ ได้แก่ Bruton’s immune deficiency, Severe combined immune deficiency, Chronic granulomatous disease เป็นต้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงโรคเอดส์
                3. ให้การวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยที่เป็น โรคแพ้ภูมิตนเอง ทุกชนิด (Autoimmune disease) เช่น โรคลูปัส (SLE) โรคข้ออักเสบเรื้อรัง (JRA)
                4. ให้การบริการตรวจทางห้องปฏิบัติการคลินิก โดยทำการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin prick test) การดูเซลล์ภูมิแพ้ในจมูก (Nasal cytology) การตรวจวัด Specific lgE ต่อสารก่อภูมิแพ้ การตรวจสมรรถภาพทางการทำงานของปอด การตรวจวัด immunoglobulin การตรวจ autoantibodies การตรวจวัดปริมาณ T และ B cells ในกระแสเลือด และการตรวจวัดการทำงานของ polymorphonuclear cell
                5. ให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตน ในการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ แนะนำวิธีใช้ยาพ่นเพื่อรักษาโรคหอบหืดและโรคแพ้อากาศ แนะนำวิธีการล้างจมูกและให้ความรู้เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตลอดจนให้ความรู้เกี่ยวกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคเหล้านี้
สถานที่ตั้ง
ชั้น 2 โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 
ศูนย์โรคภูมิแพ้
โรงพยาบาลเด็กสมิติเวชศรีนครินทร์ 
โทร 02-378-9000  
ด้วยความปรารถนาดีจาก
โรงพยาบาลเด็กสมิติเวชศรีนครินทร์

ศูนย์การได้ยิน

                โรงพยาบาลเด็กสมิติเวชศรีนครินทร์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้จึงจัดตั้ง ศูนย์การได้ยิน เพื่อตรวจวินิจฉัยให้การรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพทางการได้ยินและการพูดอย่างครบวงจร

                เด็ก : ทารกคลอดปกติ 1-3 ใน 1,000 คน มีปัญหาการได้ยินและทารกกลุ่มเสี่ยง 1-3 / เด็กกลุ่มเสี่ยงเด็กที่มีความผิดปกติทางการได้ยินตั้งแต่แรกเกิดหรืออายุน้อย จะมีผลต่อพัฒนาการทางภาษาและการพูด ทำให้เด็กพูดช้า พูดไม่สมวัย พูดไม่ชัด มีปัญหาทางด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม การเรียนรู้ และการศึกษา
                ผู้ใหญ่ : การสูญเสียการได้ยินทำให้มีปัญหาในการติดต่อสื่อสาร การทำงาน และการเข้าสังคม 

                การตรวจพบความผิดปกติทางการได้ยินตั้งแต่แรกเกิดหรืออายุน้อย ได้รับการวินิจฉัยและการดูแลที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหาด้านต่างๆได้ เช่น เด็กหูตึง/หูหนวกสามารถแก้ไขโดยใส่เครื่องช่วยฟัง (hearing aid) หรือ cochlear implant ตามความเหมาะสม และฝึกพูด เป็นต้น นอกจากนี้ การสูญเสียการได้ยินบางชนิดสามารถป้องกันได้ เช่น มารดาฉีดวัคซีนหัดเยอรมันก่อนการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์ ผู้ที่ทำงานในสถานที่เสียงดัง ใส่เครื่องป้องกันเสียง เป็นต้น
การให้บริการ 
                • ตรวจคัดกรองการได้ยินในเด็กแรกเกิด – เด็กวัยเรียน โดยใช้ otoacoustic emissions (  OAE ) และ / หรือ automated auditory brainstem response ( A-ABR )
                • ตรวจการได้ยินเด็ก อายุ 6 เดือน – 3 ปี ด้วย visual reinforcement audiometry ( VRA)
                • ตรวจการได้ยินเด็กอายุมากกว่า 3 ปี และผู้ใหญ่ด้วย pure tone audiometry
                • ตรวจการได้ยินในเด็กที่ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจ เช่น ออทิสติก หรือเด็กที่มีปัญหาด้านสติปัญญา และอารมณ์ เป็นต้น โดย auditory brainstem response ( ABR)
                • ตรวจวัดระดับการได้ยินความถี่ต่างๆ โดย auditory steady state response (ASSR)
                • ตรวจการทำงานของหูชั้นใน electocochleaography 
                • P 300
                • ตรวจการทำงานของหูชั้นกลาง โดย tympanometry
                • ใส่เครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมแก่เด็กเละผู้ใหญ่
                • ผ่าตัดประมาทหูเทียม ( cochlear implant )
                • ติดตามการใช้เครื่องช่วยฟัง ปรับเครื่องช่วยฟังให้เหมาะสม ดูแล และแก้ไขปัญหาเครื่องช่วยฟัง
                • ฝึกฟังและฝึกพูดภายหลังการใส่เครื่องช่วยฟัง
                • ตรวจคัดกรองการได้ยินและตรวจการได้ยินสำหรับพนักงานโรงงาน
                • ตรวจ ABR แก่ผู้ป่วยด้านการทรงตัวและสมอง
                • ให้คำปรึกษาด้านการได้ยินและการพูด
                • ผ่าตัดและแก้ไขปัญหาของหู
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่
ศูนย์การได้ยิน โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
เวลาทำการ 07.00 – 20.00 น.
โทรศัพท์ 02-378-9220-1 แฟกซ์ 02-731-7044

อีกหนึ่งโรคติดเชื้อ ที่ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ ....กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ

สัญญาณอันตราย
ปวดปัสสาวะบ่อย เวลาปัสสาวะจะรู้สึกระคายเคือง แสบขัด และมีอาการปวดมากบริเวณท้องน้อยร่วมด้วย

ป้องกันก่อนแก้ไข
ปกติอวัยวะส่วนนี้ของคนเราจะมีภูมิคุ้มกันบางอย่าง ที่สามารถต้านทานและกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ทำให้เชื้อโรคทั้งหลาย อยู่ในสภาพที่สมดุลและในปริมาณที่ไม่อาจทำอันตรายเราได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเราจะต้องใส่ใจดูแลให้ภูมิต้านทานส่วนนั้นแข็งแรงและ สมดุลอยู่เสมอ
    - อย่ากลั้นปัสสาวะไว้นานจนเกินไป
    - ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ไม่น้อยจนเกินไป
    - เช็ดทำความสะอาดปากทวารหนักไปทางด้านหลังไม่ใช่เช็ดย้อนมาทางด้านหน้า
    - ปัสสาวะทุกครั้งภายหลังจากการว่ายน้ำ อบซาวน่า หรือหลังการมีเพศสัมพันธ์
    - ในแต่ละครั้งที่ปัสสาวะควรจะปัสสาวะให้สุด เพื่อให้น้ำปัสสาวะช่วยขับเชื้อโรคออกไป
      และไม่ให้เหลือปัสสาวะตกค้างไว้ให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

เป็น...ไม่เป็น...ไม่แน่ใจ...ทำไงดี?

ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ ซึ่งแพทย์ก็จะทำการซักถามอาการ ตรวจวินิจฉัย ในบางกรณีอาจมีการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เมื่อพบจุดที่เป็นปัญหาแล้ว การรักษาให้หายขาดก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้น




แพทย์หญิงอรอุมา บรรพมัย

อายุรแพทย์ (ผู้เชี่ยวชาญอายุรกรรมโรคติดเชื้อ)
"โรคติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการบางอย่างฟ้องนำ อย่าเพิกเฉยนะค่ะ เพราะบางชนิดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้"


ใคร..! คือผู้ที่ควรส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร



มิติใหม่แห่งความอ่อนเยาว์ ประตูสู่ความสมดุล
Cell Rejuvenator* encompasses technology that will improve your skin aging by targeting the fatigued cells and restoring their strength and vitality. This new treatment is the choice for your beauty solution.

ผิวเสื่อมตามวัย ผิวเสื่อมสภาพเกิดจากอะไร?
เมื่ออายุมากขึ้นความเสื่อมของสภาพผิวที่เป็น ไปตามธรรมชาติเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

Cell Rejuvenator นวัตกรรมสำหรับการย้อนวัยให้ผิว ปลุกชีวิตเซลล์ผิวที่อ่อนล้าให้ฟื้นคืนพลัง อัพเวอร์ชั่นเป็นเซลล์ใหม่ ด้วยการเพิ่มการผลิต ATP จากไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นขุมพลังงานของเซลล์ รวมทั้งร่วมกำจัดอนุมูลอิสระ ส่งผลให้อวัยวะต่างๆ เช่น ระบบประสาท กล้ามเนื้อ สามารถทำงานประสานกันได้อย่างสมดุล เกิดการซ่อมแซมและเสริมสร้าง โปรตีน คอลลาเจน อิลาสติน ฟื้นฟูสภาพผิว และยกกระชับคืนความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ

Cell Rejuvenator ได้รับการพัฒนาและคิดค้นจากนักวิจัยชื่อดัง ในประเทศอังกฤษ และได้รับเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยจาก EU จึงมีความปลอดภัยสูง

"ในฐานะของแพทย์ด้านผิวพรรณ เชื่อว่า Cell Rejuvenator เป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลผิวยุคใหม่ ที่ชายและหญิงจะอยู่อย่างอ่อนเยาว์ และมีสุขภาพดี"

แพทย์หญิงนลินี สุทธิพิศาล
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ

Cell Rejuvenator - มิติใหม่แห่งความอ่อนเยาว์ ประตูสู่ความสมดุล

มิติใหม่แห่งความอ่อนเยาว์ ประตูสู่ความสมดุล
Cell Rejuvenator* encompasses technology that will improve your skin aging by targeting the fatigued cells and restoring their strength and vitality. This new treatment is the choice for your beauty solution.

ผิวเสื่อมตามวัย ผิวเสื่อมสภาพเกิดจากอะไร?
เมื่ออายุมากขึ้นความเสื่อมของสภาพผิวที่เป็น ไปตามธรรมชาติเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

Cell Rejuvenator นวัตกรรมสำหรับการย้อนวัยให้ผิว ปลุกชีวิตเซลล์ผิวที่อ่อนล้าให้ฟื้นคืนพลัง อัพเวอร์ชั่นเป็นเซลล์ใหม่ ด้วยการเพิ่มการผลิต ATP จากไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นขุมพลังงานของเซลล์ รวมทั้งร่วมกำจัดอนุมูลอิสระ ส่งผลให้อวัยวะต่างๆ เช่น ระบบประสาท กล้ามเนื้อ สามารถทำงานประสานกันได้อย่างสมดุล เกิดการซ่อมแซมและเสริมสร้าง โปรตีน คอลลาเจน อิลาสติน ฟื้นฟูสภาพผิว และยกกระชับคืนความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ

Cell Rejuvenator ได้รับการพัฒนาและคิดค้นจากนักวิจัยชื่อดัง ในประเทศอังกฤษ และได้รับเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยจาก EU จึงมีความปลอดภัยสูง

"ในฐานะของแพทย์ด้านผิวพรรณ เชื่อว่า Cell Rejuvenator เป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลผิวยุคใหม่ ที่ชายและหญิงจะอยู่อย่างอ่อนเยาว์ และมีสุขภาพดี"

แพทย์หญิงนลินี สุทธิพิศาล
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ

ศูนย์วัยรุ่น

หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งศูนย์วัยรุ่น
                วัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่สดใสสวยงามสำหรับผู้พบเห็น ทว่าการเป็นวัยรุ่นก็ง่ายต่อการเกิดปัญหาการปรับตัว ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ และสังคม จากการสำรวจทั่วโลกพบว่าช่วงวัยรุ่นเป็นระยะเวลาของการเติบโตที่มักจะถูกละเลยการดูแลสุขภาพ ทั้งทางกายและทางจิตใจได้ง่ายที่สุด ในขณะที่วัยรุ่นเองจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและความเข้าใจจากบุคคลแวดล้อม การให้ความสำคัญต่อพัฒนาการเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพกายและใจ ตลอดจนแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจต่อสุขภาพวัยรุ่น จึงนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมให้เติบโตจากเด็กไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
การบริการที่จัดให้
                ศูนย์วัยรุ่น โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ให้บริการครอบคลุมวัยรุ่นทั้งชายและหญิงในช่วงอายุ 12-21 ปี ให้คำปรึกษาทั้งปัญหาทางกายและจิตใจ

การแก้ไขปัญหาทางร่างกาย
                - ปัญหาที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต
                - ปัญหาเรื่องความสูง รูปร่าง น้ำหนัก
                - ปัญหาเกี่ยวกับผิวพรรณ เส้นผม และความงาม
                - ปัญหาเกี่ยวกับสายตา เช่น สายตาสั้นหรือเอียง
                - ปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน เช่น หูหนวด หรือสูญเสียการได้ยิน
                - ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปากและฟัน
                - ปัญหาเกี่ยวกับกระดูก เช่น กระดูกสันหลังคด อาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรือุบัติเหตุ
                - ปัญหาเกี่ยวกับนรีเวชศาสตร์ เช่น ความผิดปกติของรอบเดือน
                - ปัญหาโรคภูมิแพ้ต่างๆ รวมถึง โรคเรื้อรังอื่นๆ

วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งศูนย์วัยรุ่น
                - ให้การดูแลช่วงเหลือวัยรุ่นที่ต้องการคำปรึกษาโดยประเมินจากข้อมูลที่ได้รับจากวัยรุ่น พ่อแม่ คุณครูและผู้ดูแล
                - ให้การรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพสูงสุด เพื่อแก้ไขปัญหาและปรับพฤติกรรมในวัยรุ่น
                - สร้างความเข้าใจให้กับวัยรุ่น พ่อแม่ คุณครู ในเรื่องสภาวะการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
                - ให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่พ่อแม่และวัยรุ่น เพื่อช่วยลดปัญหาและสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆได้
                - ส่งเสริมให้วัยรุ่นที่เคยเผชิญกับปัญหารูปแบบต่างๆปรับตัวคืนกลับสู่กิจกรรมทางสังคมที่เหมาะสมตามวัย
                - จัดหารูปแบบในการสร้างเสริมทักษะต่างๆในด้านพัฒนาการเสริมสร้างความสามารถและความมั่นใจในตนเอง

การช่วยเหลือทางด้านจิตใจ
                - ปัญหาที่เกี่ยวกับอารมณ์ และพฤติกรรม เช่น ความก้าวร้าว ความหดหู่ ความกังวล และความเครียด
                - ปัญหาเกี่ยวกับการปรับตัวในหมู่เพื่อน ครอบครัว หรือกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
                - ปัญหาการเรียน เช่น ไม่มีสมาธิ
                - ปัญหาติดเกมส์ การใช้สารเสพติด
                - ปัญหาการปรับตัวทางเพศ เช่น การเบี่ยงเบนทางเพศ
                - ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น

โปรแกรมกาให้บริการประกอบด้วย
                - การประเมินผลและให้คำปรึกษา รวมไปถึงการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือแบบองค์รวม
                - ให้การปรึกษาครอบครัว
                - ให้การปรึกษารายบุคคล
                - การจัดโปรแกรมกลุ่มสำหรับวัยรุ่น
                - การจัดกิจกรรรมฝึกอบรมทักษะและความรู้ด้านต่างๆแก่วัยรุ่นและผู้ปกครอง
                - ให้การปรึกษาในเรื่องการใช้ยา
                - การให้ตำแนะนำ และการรักษาปัญหาสุขภาพกายต่างๆ

การให้การปรึกษาแต่ละรูปแบบ
                ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญให้เหมาะสมเป็นกรณีไป โดยขึ้นอยู่กับความยินยอมพร้อมใจของวัยรุ่น และครอบครัวเน้นการเก็บรักษาความลับของผู้รับบริการเป็นหลังในทุกกรณี สื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตรที่เข้าใจและไว้วางใจได้ เพื่อให้วัยรุ่นและครอบครัวสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ มีความมั่นใจต่อการผ่านพ้น การปรับตัวในวันรุ่นได้อย่างมั่นใจและมีความสุข
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 
ศูนย์วัยรุ่น
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
โทร : 0-2378-9222
ด้วยความปรารถนาดีจาก
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

10 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อที่จะมีบุตร



1. เตรียมร่างกายให้พร้อม ดูแลน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ พักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2. เตรียมใจให้พร้อม กำจัดความเครียดต่าง ๆ ทั้งด้านการงาน การเงิน การเรียนและครอบครัว
3. รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ หรือ Preconception Vitamin ที่สำคัญคือ กรดโฟลิก เพื่อช่วยลดความผิดปกติในสมองของทารกช่วงปฏิสนธิ
4. อย่าลืม!! ตรวจเลือดเตรียมความพร้อมก่อนมีบุตรด้วยนะคะ
5. ถ้ายังไม่มีภูมิหัดเยอรมัน ต้องฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันก่อนและคุมกำเนิดไว้  3 เดือนก่อนปล่อยตั้งครรภ์
6. จดประจำเดือนทุกเดือนไว้ ดูความสม่ำเสมอของประจำเดือน ถ้าไม่สม่ำเสมอ ต้องรีบปรึกษาแพทย์
7. ถ้าประจำเดือนสม่ำเสมอดี ช่วงใกล้ไข่ตกจะอยู่ประมาณกลางเดือน อย่าลืมทำการบ้าน (มีเพศสัมพันธ์) วันเว้นวันในช่วงที่ใกล้ไข่ตก จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้
8. ไม่ต้องใช้ปรอทวัดอุณหภูมิ หรือตรวจ LH Test ดูการตกไข่จะยิ่งทำให้เครียดเปล่า ๆ 
9. แค่ทำตัวสบาย ๆ พยายามทำตามข้อ 7 ประมาณ 4-6 เดือนก็จะท้องได้เองค่ะ
10. แต่ถ้ายังไม่ท้อง คงต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมีบุตรยากแล้วค่ะ

ข้อมูลโดย

แพทย์หญิงวัชราภรณ์ วีรกุลสูติ นรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
ผ่าตัดด้วยกล้องลาปาโรสโคป รักษาผู้ป่วยมีบุตรยากและสตรีวัยทอง
แพทย์ประจำศูนย์ผู้มีบุตรยากและศูนย์สุขภาพสตรี 
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

ครอบครัวไทยกับปัญหามีบุตรยากในปัจจุบัน



กำลังใจจะสร้างครอบครัวร่วมกันแล้ว  ก็คงอดไม่ได้ที่จะอยากมีเจ้าตัวเล็กไว้เป็นโซ่ทองคล้องใจของครอบครัว    สำหรับคู่สมรสที่มีลูกง่าย  เปิดปุ๊บ ติดปั๊บได้ลูกสาว ลูกชาย สมใจก็มีมาก   แต่สำหรับคู่สมรสที่ได้พยายามมีบุตรมานาน  แต่ก็ต้องผิดหวังมาตลอด  อย่าเพิ่งท้อใจ  มีวิธีที่ช่วยคุณได้รออยู่

เมื่อชายหญิงแต่งงานกันตกลงใจจะสร้างครอบครัวร่วมกันแล้ว  ก็คงอดไม่ได้ที่จะอยากมีเจ้าตัวเล็กไว้เป็นโซ่ทองคล้องใจของครอบครัว    สำหรับคู่สมรสที่มีลูกง่าย  เปิดปุ๊บ ติดปั๊บได้ลูกสาว ลูกชาย สมใจก็มีมาก   แต่สำหรับคู่สมรสที่ได้พยายามมีบุตรมานาน  แต่ก็ต้องผิดหวังมาตลอด  อย่าเพิ่งท้อใจ  มีวิธีที่ช่วยคุณได้รออยู่   ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความรู้จักกับภาวะมีบุตรยากกันก่อน

ภาวะมีบุตรยากคืออะไร ?
    ภาวะมีบุตรยาก  หมายถึง  การที่คู่สมรสไม่สามารถมีบุตรได้  ทั้งที่มีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอโดยไม่ได้คุมกำเนิดเป็นเวลาอย่างน้อย  1  ปี
ภาวะนี้พบได้ประมาณ  15%  ของคู่สมรส  หรือ  15 คู่ ใน 100  คู่สมรสที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่  จะเห็นว่ามีคู่สมรสจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่สามารถมีบุตรได้ตามธรรมชาติ  และจำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการช่วยให้ตั้งครรภ์    

สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก  เกิดได้จาก
    *  ฝ่ายชายประมาณ  40%
    *  ฝ่ายหญิงประมาณ  50%
    *  ไม่พบสาเหตุประมาณ  10-15%

สาเหตุของการมีบุตรยากในฝ่ายชาย
  (male factor)  เกิดจากความผิดปกติของน้ำเชื้ออสุจิ 
สาเหตุของการมีบุตรยากในฝ่ายหญิง   อาจเกิดจาก
-    ความผิดปกติของท่อนำไข่และเยื่อบุช่องท้อง
-    ความผิดปกติของการตกไข่และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตกไข่
-    ความผิดปกติของมดลูก        และปากมดลูก  
-    ความผิดปกติของช่องคลอด          
-    ปัจจัยอื่น ๆ   เช่น  ความเครียด,     โรคประจำตัว,   มีปัญหาในการมีเพศสัมพันธ์

นอกจากนี้ในปัจจุบันสตรีมีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น   ซึ่งเป็นสาเหตุให้แต่งงานสร้างครอบครัวช้า   จึงแต่งงานเมื่ออายุมากขึ้น   ผลที่ตามมาคือ ทำให้มีบุตรยากขึ้น 
ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงอาจเป็นสาเหตุของการมีบุตรยากได้  ดังนั้นการตรวจหาสาเหตุและรักษาภาวะมีบุตรยากจึงจำเป็นต้องตรวจรักษาทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง

เราจะรักษาภาวะมีบุตรยากได้อย่างไร ?
ในเบื้องต้นแพทย์จะตรวจหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยากและรักษาสาเหตุที่แก้ไขได้  แต่มีหลายสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้  จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์  ช่วยให้คู่สมรสมีบุตร    ได้แก่
*    การผสมเทียม  หรือการฉีดน้ำเชื้ออสุจิเข้าโพรงมดลูก  (IUI)
*    การทำกิ๊ฟ  (GIFT)
*    การปฏิสนธินอกร่างกาย    หรือ  การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)   ซึ่งอัตราการตั้งครรภ์จากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์  พบได้ประมาณ 30%
อัตราการตั้งครรภ์นี้ขึ้นกับอายุของฝ่ายหญิงด้วย  ถ้าฝ่ายหญิงอายุน้อย  โอกาสสำเร็จจะสูงกว่านี้ได้      และโอกาสการตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนรอบของการรักษาด้วย

Embryo Transfer
Embryo Transfer

ICSI Lab

TESA


ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนการรักษา
ถ้าคิดว่าคู่ของเราเข้าข่ายภาวะมีบุตรยากแล้วละก็ ควรมาพบแพทย์พร้อมกันทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเพื่อให้แพทย์ได้สอบถามประวัติที่เกี่ยวข้อง  โรคประจำตัวต่างๆ  ยาที่ใช้     และตรวจร่างกายและสุขภาพของทั้งคู่ก่อน   แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเลือดหาโรคติดเชื้อ  โรคธาลัสซีเมีย ระดับฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งตรวจอัลตร้าซาวน์  เอกซเรย์ และตรวจน้ำเชื้ออสุจิด้วย   เมื่อทราบผลการตรวจต่างๆ เหล่านี้  แพทย์ก็จะแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคู่สมรสต่อไป
ยังมีความหวังสำหรับผู้มีบุตรยากเสมอ หากเริ่มต้นการรักษาเร็ว ฝ่ายหญิงอายุน้อย  โอกาสสำเร็จจะยิ่งเร็วขึ้นด้วย   ดังนั้นไม่ควรรอช้าที่จะปรึกษาแพทย์
โดย