เรื่องไปเที่ยวนี่ใครๆ ก็ชอบ เมื่อก่อนนี้ก็จะไปในที่ๆ มีชื่อเสียงของประเทศนั้นๆ คือ เป็นแหล่งนักท่องเที่ยว (tourist attraction) ว่างั้นเถอะ แล้วก็เริ่มมาเสาะหาที่แปลกๆ unseen บ้าง หรือเมืองยากๆ ที่ไปยากๆ แต่บางทีประเทศหรือเมืองที่เราไปอาจมีที่ๆ ไม่ใช่แหล่งนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป แต่เป็นที่พิเศษที่คนบางกลุ่มชอบและควรไป
ไอเกิลจึงเปิดคอลัมน์ท่องเที่ยว Travelogue ขึ้นมา เพื่อพาท่านผู้อ่านที่รักไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ สำหรับกลุ่มที่มีความชอบต่างๆ กัน ซึ่งก็หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับความบันเทิงและสาระกันบ้างนะครับ ใครจะรู้ ชอบไปชอบมา เราจัดพาไปเที่ยวดูของจริงด้วยกันซะเลย
ฉบับเปิดคอลัมน์ใหม่นี้ ไอเกิลขอพาท่านผู้อ่านที่ไปเที่ยว ลอส แองเจลิส (Los Angeles) เมืองเทวดา หรือกรุงเทพ ของคนอเมริกา พอพูดถึงลอสแองเจลิสล่ะทำน่าเบื่อกันเชียว อย่าเบื่อครับ หลายท่านอาจจะบอกว่าคงไม่พ้นไปเที่ยวดิสนี่แลนด์ (Disneyland) ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) เดี๋ยวนี้ก็มี California Adventure แล้วยังต้องไปเที่ยวในฮอลิวู้ด (Hollywood) เพื่อไปดูโรงละครโกดัก (Kodak Theater) โรงภาพยนตร์แมน ไชนีส (Mann’s Chinese Theatre) อะไรพวกนั้น เยอะแยะไปหมด ช้อปปิ้งก็ต้องไป ไปถูกเทศกาลก็จะได้ของดีราคาถูก ไปผิดก็ได้ของดีแต่ก็สมราคานะครับ
สถานที่และกิจกรรมต่างๆ ที่ว่ามาเป็นสถานที่ๆ ใครๆ ก็ควรไปเพราะมันมีเสน่ห์ (magic) และส่งแปลกใหม่ ที่ต้องไปสัมผัสทุกครั้งที่ไป แค่ไปดูพลุกับ Parade ที่ Disneyland ก็คุ้มแล้วนะครับ
แต่ถ้าคุณไปเป็นประจำอยู่แล้ว และมองหาที่ใหม่ๆ ที่น่าสนใจแล้วล่ะก็ ลองไปเที่ยวแบบได้ความรู้และสนุกกันดูบ้างสิครับ คุณจะเพลิดเพลินไปอีกแบบจริงๆ
ที่ Los Angeles นี่นอกจากจะมีสถานที่บันเทิงเริงรมย์มากมายแล้วและยังมีสถานที่บันเทิงพร้อม สาระประโยชน์อีกเยอะครับ ผมไปทีไรก็มีที่ๆ น่าสนใจให้ไปลองอยู่เรื่อย อย่างพิพิธภัณฑ์เจ. พอล เก็ตตี้ (J. Paul Getty Museum) ที่ผมจะเล่าให้นี่ล่ะครับ เขาปิดเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปนานถึง 4 ปี แต่ในที่สุดก็เปิดใหม่สวยอลังการกว่าเดิมครับ เราลองมารู้จักที่มาของพิพิธภัณฑ์นี้กันหน่อย
คุณ Jean Paul Gettyผู้ริเริ่มพิพิธภัณฑ์นี้ เป็นมหาเศรษฐีพันล้าน คนแรกของโลกเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ เพราะครอบครัวเ Getty ประกอบอาชีพค้าน้ำมัน จริงๆ แล้วบ้านนี้ก็รวยมากอยู่แล้วแต่คุณ Jean แกก็เป็นนักธุรกิจในสายเลือดจริงๆ ในปี 1949 ไปลงทุนขุดน้ำมันที่ตะเข็บระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบีย และคูเวต จากพื้นที่ๆ เป็นทะเลทราย กลายเป็นแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ แต่กว่าจะเห็นผล ต้องใช้เวลาทั้งหมด 4 ปีนะและลงทุนไปกว่า 30 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบกับปัจจุบันก็อาจจะประมาณ 30,000 ล้าน ก็ได้นะครับ แต่พอขุดได้ปุ๊บก็ยิ่งรวยเละ เข้าไปใหญ่ แล้วก็รวยๆๆๆๆ จนหลานชายคนโต John Paul Getty ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ในปี 1976 เลยล่ะครับ จริงๆ นะ สมัยก่อนนี่การเรียกค่าไถ่ฮิตจริงๆ แต่คุณ Jean แกใจแข็งไม่ยอมจ่ายเงินเพราะกลัวว่าหลานๆ อีก 14 คนจะโดนเรียกค่าไถ่บ้าง ขนาดโจรตัดหูหลานส่งมาขู่นะ ยังไม่ยอมเลยมีการต่อรองกันสุดฤทธิ์ ในที่สุดโจรเรียกค่าไถ่ยอมรับเงินที่ 2.2 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่รัฐบาลยอมให้หักภาษีได้ ก็บอกแล้วไงครับว่าสมัยนั้นเรียกค่าไถ่กันเป็นล่ำเป็นสัน ต้องมีกฏหมายมารองรับ ปัจจุบันก็ยังมีนะครับกฏหมายนี้ แต่เรียกเป็นอย่างอื่น
ใครๆ ก็ว่าคุณ Jean แกขี้เหนียวนะครับ ถ้าไม่เหนียวก็คงไม่รวยนะครับ แกเคยเขียนหนังสือชื่อ How to Be Rich ด้วยนะครับ มีเกร็ดขำ ๆ ของแกอยู่เรื่องที่โด่งดังมากคือ เมื่อแกย้ายไปอยู่ที่ Sutton Place เมือง Surrey ประเทศอังกฤษ ก็จะมีคนไปเยี่ยมเยียนเยอะแยะ โดยเฉพาะเรื่องงาน แล้วคงมาขอใช้โทรศัพท์กันอย่างเม้าท์มัน แกเลยสั่งติดโทรศัพท์หยอดเหรียญให้ใช้กันซะเลย เฉพาะพนักงานที่มีสิทธิ์ในการใช้โทรศัพท์ของบริษัทเท่านั้นที่จะมีโค้ดในการ ใช้โทรออก เป็นไงล่ะครับ อย่างนี้รวยไม่เลิกนะครับ แต่แกก็เอาเงินมาคืนให้สังคมอย่างชนิดเป็นชิ้นเป็นอัน และเนื่องจากคุณ Jean เป็นคนที่ชอบศิลปะ จึงได้ริเริ่มที่จะเสาะหาศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด รูปปั้น เครื่องประดับ กะโหลก กะลา โบราณหายาก มาแสดงให้ผู้สนใจได้ชมกัน
J. Paul Getty Museum เป็นความคิดของคุณ Jean ทั้งนั้นครับ พิพิธภัณฑ์ J. Paul Getty ดั้งเดิมน่ะต้องอยู่ที่ เมืองมาลิบู นะครับ แต่มีการสร้างสาขาเพิ่มเติมเพื่อเป็นแหล่งวิจัยเพื่อการศึกษาด้านศิลปะที่ใน เมือง Los Angeles เลย อลังการมาครับ
ถ้าจะไปก็ต้องขึ้น Freeway สาย 405 แล้วไปลงที่ Getty Drive ได้เลยครับ ตั้ง GPS ไว้ ไม่หลงแน่ แล้วที่ว่าคุณ Jean แกคืนให้สังคมน่ะนะครับ ค่าเข้าชมนี่ฟรีนะครับ เสียแต่ค่าที่จอดรถ 15 เหรียญขาดตัว ก็ 450 บาทล่ะครับ อยูได้ทั้งวัน
สำหรับผมน่ะ ชอบที่มาลิบูครับ เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่า J.Paul Getty Museum at the Getty Villa in Malibu วันที่ผมไปเยี่ยมชมเมื่อเร็วๆ นี้นะครับ ทัวร์ไกด์ที่พากลุ่มของเราเดินเที่ยวชื่อ คุณแมนดี้ ซึ่งเป็นสมาชิกของ Docent Council คือกลุ่มคนที่ชื่นชอบศิลปะ และอาสาทำงานให้กับพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทำฟรีนะครับ จิตอาสาครับ มีการอบรมอะไรต่อมิอะไรเสร็จสรรพเลยครับ งานนี้ถือเป็นเกียรตินะครับ ถ้าได้ทำเพราะเป็นประสบการณ์ที่ดี
คุณแมนดี้ บอกว่าช่วงที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนี้ ก็เพื่อจำลองเอา Villa deiPapiriซึ่งเป็นบ้านของคหบดีสมัยโรมัน มานำเสนอ ทีแรกผมก็ว่างั้นๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่เธอก็อธิบายแบบเมามันเรื่องบ้านนี้จนผมคล้อยตามเลยครับ ว่ากันว่าบ้านที่จำลองมานี้น่ะมีจริงครับ อยู่คนละฟากภูเขาไฟวิสุเวียส (Vesuvius) กับเมืองปอมเปอี (Pompeii) ไงครับ ภูเขาไฟวิสุเวียส ที่เมืองนาโปลี (Napoli) ก็เมือง เนเปิลส์ (Naples) ประเทศ อิตาลี หลายท่านต้องเคยไปแล้วแน่ๆ แต่ต้องไม่เจอ Villa deiPapiriแน่นอนครับผม เพราะ Villa นี้อยู่เมือง Herculaneum ซึ่งยังไม่มีการขดกซากปรักหักพังนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยตั้งแต่ภูเขา ไฟวิสุเวียสระเบิดในปี 79 A.D. นั่นล่ะครับ ก็ต้องเกือบสองพันปีกันเชียวล่ะครับ
การที่พิพิธภัณฑ์สามารถสร้างขึ้นมาได้นั้น เป็นการรวบรวมผังบ้านต่างๆ ของเมือง Pompeii, Herculaneum และ Stabiaeในสมัยโรมันเรียบเรียงใหม่ แล้วสร้างขึ้นมา ให้เหมือนจริงที่สุด ผมว่าต้องเหมือนจริงที่สุดแน่ครับ เพราะสถานที่ตั้ง Getty Villa นี้ อยู่บนเนินสูงมองลงมาเป็นทะเล เหมือนที่ Naples เลยครับ สวยมากจริงๆครับ
แมนดี้บอกว่าบ้านเรือนของชาวโรมันในสมัยนั้นได้รับอิทธพลจากกรีกครับ และเนื่องจากเมือง Herculaneum นี้เป็นเมืองที่น่ารวยมากครับ ว่ากันว่ารวยกว่าเมืองปอมเปอีอีกนะครับ ตอนก่อนภูเขาไฟระเบิดปิดตายเมืองนี้น่ะ มีแต่พวกไฮโซ อยู่ทั้งนั้นครับ ถึงแม้ว่าบ้านที่จำลองมานี้ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ แต่เราก็สามารถนึกภาพตามที่แมนดี้อธิบายได้อย่างดี
ผมสังเกตุว่าบ้านไฮโซโรมันนี้ ไม่ว่าจะอยู่ไหน ต้องมองเห็นวิวที่เป็นสวน เป็นที่โล่งๆ ขนาดที่ห้องครัวยังต้องมีสวนครัวแบบสวยงามเลยครับ โอ้ย แต่สิ่งที่ผมสยองคือ แมนดี้บอกว่าอาหารจานโปรดที่โชว์ความมั่งคั่งคือ นกยูง นกกระจอกเทศ หรือแม้กระทั่งหนูยัดไส้ แต่พ่อครัวแม่ครัวคงเก่งครับเพราะเป็นอาหารหลักจริงๆ พวกยัดใส้นี่
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ สระน้ำและรูปปั้นของเทพเจ้าต่างๆ และที่สำคัญคือต้น Bay Laurel หรือ ต้นชัยพฤกษ์ นี่ต้องมีเยอะๆ เพราะนอกจากจะใช้เป็นอาหาร เป็นยารักษาแผล เป็นเครื่องประดับในบ้านแล้ว ใบ Bay Laurel นี้ยังเป็นเครื่องหมายของผู้ชนะ อะไรประมาณนั้น ก็ที่เขาทำเป็นเหมือนมงกุฏมอบให้ผู้ชนะการแข่งขันกีฬาไงครับ
คำถามคือ ต้นอื่นมีถมไป ทำไมต้องเป็นใบ Bay Laurel ใช่ไหมครับ เรื่องมันมีสิครับ สืบเนื่องมาจากอพอลโล (Apollo) เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ แล้วยังเป็นเทพแห่งสัจจะและการดนตรีด้วย Apollo หรือถ้าเป็นภาษากรีก จะเป็นอพอลลอน บุตรชายคนโตของมหาเทพซุส กับนางเลโต เป็นหนึ่งใน 12 เทพ แห่งโอลิมปัส มีพี่สาวฝาแฝดชื่อ อาร์เทมิส หรือ ไดอาน่า ในภาษาโรมัน ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์
เพราะพ่อผมหญ่ายมาก แล้วผมก็หล่อมากด้วย ก็เลยชอบแกล้งคนโน้นคนนี้ ทีนี้ไปเจอะคิวปิด (Cupid) เทพแห่งความรักที่น่ารักเหมือนเด็กน้อยเข้า ก็ดันไปแซวว่าเป็นเด็กเป็นเล็กทำไมถึงมาเล่นธนูซึ่งเป็นของผู้ใหญ่ ตอนนั้น Cupid อาจจะอารมณ์ไม่ดีละมังเลยยิงศรรักเข้าที่อกของ Apollo แล้วมองไปเห็น Daphne ซึ่งเป็นนางอัปสร รูปงามธิดาของ Peneusเทพประจำแม่น้ำ ก็ยิงลูกศรแห่งความเบื่อหน่ายไปที่นาง เป็นไงล่ะครับ Apollo ก็หลงรักนางหัวปักหัวปำ ส่วน Daphne ก็ให้รู้สึกสะอิดสะเอียดไม่อยากพบ Apollo เลย ทีนี้ก็เกิดการไล่ล่าหาความรักกันล่ะสิ
นางอัปสรผู้เลอโฉม หนีไม่ทัน Apollo ผู้แข็งแกร่งที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความรัก นางไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยไปขอให้ท่านพ่อช่วย ท่านพ่อก้ไม่รู้จะทำอย่างไรที่จะช่วยลูกสาว เลยเสกให้เป็นต้น Bay Laurel ไปซะเลย Apollo เศร้ามา แต่ก็รักไม่เสื่อมคลายจึงมีเทพบรรหารว่า นับแต่บัดนี้ต้น Bay Laurel นี้จะเป็นต้นไม้สุดเลิฟของเขา อันคนทั้งหลายพึงเด็ดช่อใบร้อยพวงมาลา เป็นรางวัลแก่กวีและนักดนตรีสืบต่อไป ต้น Bay Laurel เลยเป็นต้นสุดฮิต มาจนวันนี้ บ้านชาวโรมันสมัยนั้นมีต้น Bay Laurel ทั่วทุกมุมเลยเชียวครับ
ที่ผมเล่ามาให้ฟังนี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เท่านั้นนะครับ ส่วนที่เป็นศิลปะพวกรูปวาด รูปปั้น อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะครับ ต้องเดินดูเองแล้วจะซาบซึ้ง นอกจากนี้บางที่เขาก็มีโชว์ที่น่าสนใจ ต้องคอยเช็คดูครับว่าเมื่อไหร่
ผมน่ะเดินไปเดินมาแล้วหิว เลยไปนั่งทานอาหารที่ Café ของเขา ใช้ได้ครับ อาหารไม่เลว แต่บรรยากาศดีมาก ช่วงที่ผมไปนี้งานศิลปะที่โชว์อยู่มีชื่อว่า Modern Antiquity ซึ่งรวบรวมผลงานของ Picasso, de Chirico, Léger, and Picabia มาไว้ให้ชมกัน ผมน่ะไม่ใช่แฟนตัวยงของศิลปะในยุคนั้น ก็เลยได้แต่เรียบๆ เคียง ดูโน่นนี่ แล้วก็แอบฟังไกด์ เขาอธิบาย ก็พวก Docent Council นั่นล่ะครับ แต่ไม่ใช่แมนดี่แล้ว เป็นคนอื่น อธิบายดี แต่ผมก็ยังไม่เลิฟอยู่ดีครับ
ถ้าใครได้ไป L.A. แล้วเบื่อไม่รู้จะทำอะไรดี โทรไปจองที่จอดรถที่ J. Paul Getty Museum ได้เลยครับ ไม่ผิดหวังแน่ แล้วถ้ายังเบื่ออีก ก็ขับรถต่อไปอีกหน่อยเลียบชายฝั่งมาลิบู ไปทานอาหารที่ Shopping Mall แถวนั้น ฟลุ๊คๆ เจอดาราอีก เพราะแถวนั้นบ้านดาราเยอะ แล้วเขาชอบมาช้อปมากินอาหารกันน่ะครับ
ฉบับนี้ปฐมฤกษ์ของคอลัมน์ Travelogue เลยยาวหน่อยนะครับ หวังว่าคงชอบกันครับ ติชม ให้กำลังใจผ่าน editor@aiglemag.com ได้ เลยครับ พบกันใหม่ฉบับหน้าครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น