วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

เรื่องดีดี….ที่อยากบอก

คงไม่มีอะไรจะเป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่ที่ดีที่สุด ที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุข เท่ากับการทำตัวเป็นลูกที่ดี แต่สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ อะไรก็คงจะไม่มีความสุขเท่ากับการได้เห็นลูกน้อยเติบโตอย่างแข็งแรง และมีพัฒนาการที่สมวัยใช่มั๊ยล่ะคะ Eucerin ร่วมกับโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท จัดกิจกรรมดีๆ เพื่อคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่มีลูกน้อยอายุ 2-6 เดือน ได้เรียนรู้การดูแลลูกน้อยอย่างถูกวิธีค่ะ



“ของเล่นลูก…จะดี ที่แม่เลือก” ในปัจจุบันมีของเล่นเด็กมากมายหลากหลาย จนบางครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจเลือกเพราะคิดว่าคงจะดีเท่านั้น แต่การเล่นและของเล่นของลูก ถือเป็นหัวใจสำคัญของการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้และพัฒนาการที่สอดคล้องไปกับ ธรรมชาติ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องเลือกให้เหมาะกับวัยของลูก และที่สำคัญต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญด้วยนะคะ

การกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก โดยการนวดสัมผัส” เพราะเด็กทารกยังไม่สามารถลุก นั่ง ยืน เดินได้ การนอนอย่างเดียวก็จะทำให้เด็กรู้สึกเมื่อย หากคุณแม่ช่วยขยับส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยการนวด การสัมผัส ก็จะทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายและเหมือนเป็นการช่วยออกกำลังกายให้กับเด็กอีก ด้วยค่ะ
สุขภาพของคุณแม่ก็สำคัญนะคะ เป็นคุณแม่มือใหม่ ยุคใหม่ จะให้เลี้ยงลูกเหงื่อโทรมเหมือนเมื่อก่อนได้ยังไงล่ะคะ คุณแม่ก็ต้องสวยใส สมวัยด้วยเหมือนกันค่ะ Eucerin จึงมีเคล็ดลับ “การสวยสุขภาพดี ที่คุณแม่ไม่ต้องรอ” โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก ร.พ.สมิติเวช สุขุมวิท มาฝากอีกด้วยค่ะ แถมคุณแม่มือใหม่ที่มีโอกาสได้ไปร่วมกิจกรรมดีๆ ครั้งนี้ ยังได้รับ Gift Set ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผิวจาก Eucerin ติดไม้ติดมือกลับบ้านกันไปอีกด้วยนะคะ



แบบนี้เรียกว่ายิงปืนนัดเดียว ได้นกหลายตัวเลยล่ะค่ะ แต่สำหรับใครที่พลาดโอกาสก็ไม่เป็นไรนะคะ Eucerin เค้ามีกิจกรรมดีๆ แบบนี้อีกเมื่อไหร่ ไอเกิลจะนำมาบอกต่อแน่นอนค่ะ

กลับไปเยี่ยม แอล.เอ. อีกครั้ง

เรื่องไปเที่ยวนี่ใครๆ ก็ชอบ เมื่อก่อนนี้ก็จะไปในที่ๆ มีชื่อเสียงของประเทศนั้นๆ คือ เป็นแหล่งนักท่องเที่ยว (tourist attraction) ว่างั้นเถอะ แล้วก็เริ่มมาเสาะหาที่แปลกๆ unseen บ้าง หรือเมืองยากๆ ที่ไปยากๆ แต่บางทีประเทศหรือเมืองที่เราไปอาจมีที่ๆ ไม่ใช่แหล่งนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป แต่เป็นที่พิเศษที่คนบางกลุ่มชอบและควรไป

ไอเกิลจึงเปิดคอลัมน์ท่องเที่ยว Travelogue ขึ้นมา เพื่อพาท่านผู้อ่านที่รักไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ สำหรับกลุ่มที่มีความชอบต่างๆ กัน ซึ่งก็หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับความบันเทิงและสาระกันบ้างนะครับ ใครจะรู้ ชอบไปชอบมา เราจัดพาไปเที่ยวดูของจริงด้วยกันซะเลย



ฉบับเปิดคอลัมน์ใหม่นี้ ไอเกิลขอพาท่านผู้อ่านที่ไปเที่ยว ลอส แองเจลิส (Los Angeles) เมืองเทวดา หรือกรุงเทพ ของคนอเมริกา พอพูดถึงลอสแองเจลิสล่ะทำน่าเบื่อกันเชียว อย่าเบื่อครับ หลายท่านอาจจะบอกว่าคงไม่พ้นไปเที่ยวดิสนี่แลนด์ (Disneyland) ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) เดี๋ยวนี้ก็มี California Adventure แล้วยังต้องไปเที่ยวในฮอลิวู้ด (Hollywood) เพื่อไปดูโรงละครโกดัก (Kodak Theater) โรงภาพยนตร์แมน ไชนีส (Mann’s Chinese Theatre) อะไรพวกนั้น เยอะแยะไปหมด ช้อปปิ้งก็ต้องไป ไปถูกเทศกาลก็จะได้ของดีราคาถูก ไปผิดก็ได้ของดีแต่ก็สมราคานะครับ

สถานที่และกิจกรรมต่างๆ ที่ว่ามาเป็นสถานที่ๆ ใครๆ ก็ควรไปเพราะมันมีเสน่ห์ (magic) และส่งแปลกใหม่ ที่ต้องไปสัมผัสทุกครั้งที่ไป แค่ไปดูพลุกับ Parade ที่ Disneyland ก็คุ้มแล้วนะครับ
แต่ถ้าคุณไปเป็นประจำอยู่แล้ว และมองหาที่ใหม่ๆ ที่น่าสนใจแล้วล่ะก็ ลองไปเที่ยวแบบได้ความรู้และสนุกกันดูบ้างสิครับ คุณจะเพลิดเพลินไปอีกแบบจริงๆ

ที่ Los Angeles นี่นอกจากจะมีสถานที่บันเทิงเริงรมย์มากมายแล้วและยังมีสถานที่บันเทิงพร้อม สาระประโยชน์อีกเยอะครับ ผมไปทีไรก็มีที่ๆ น่าสนใจให้ไปลองอยู่เรื่อย อย่างพิพิธภัณฑ์เจ. พอล เก็ตตี้ (J. Paul Getty Museum) ที่ผมจะเล่าให้นี่ล่ะครับ เขาปิดเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปนานถึง 4 ปี แต่ในที่สุดก็เปิดใหม่สวยอลังการกว่าเดิมครับ เราลองมารู้จักที่มาของพิพิธภัณฑ์นี้กันหน่อย

คุณ Jean Paul Gettyผู้ริเริ่มพิพิธภัณฑ์นี้ เป็นมหาเศรษฐีพันล้าน คนแรกของโลกเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ เพราะครอบครัวเ Getty ประกอบอาชีพค้าน้ำมัน จริงๆ แล้วบ้านนี้ก็รวยมากอยู่แล้วแต่คุณ Jean แกก็เป็นนักธุรกิจในสายเลือดจริงๆ ในปี 1949 ไปลงทุนขุดน้ำมันที่ตะเข็บระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบีย และคูเวต จากพื้นที่ๆ เป็นทะเลทราย กลายเป็นแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ แต่กว่าจะเห็นผล ต้องใช้เวลาทั้งหมด 4 ปีนะและลงทุนไปกว่า 30 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบกับปัจจุบันก็อาจจะประมาณ 30,000 ล้าน ก็ได้นะครับ แต่พอขุดได้ปุ๊บก็ยิ่งรวยเละ เข้าไปใหญ่ แล้วก็รวยๆๆๆๆ จนหลานชายคนโต John Paul Getty ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ในปี 1976 เลยล่ะครับ จริงๆ นะ สมัยก่อนนี่การเรียกค่าไถ่ฮิตจริงๆ แต่คุณ Jean แกใจแข็งไม่ยอมจ่ายเงินเพราะกลัวว่าหลานๆ อีก 14 คนจะโดนเรียกค่าไถ่บ้าง ขนาดโจรตัดหูหลานส่งมาขู่นะ ยังไม่ยอมเลยมีการต่อรองกันสุดฤทธิ์ ในที่สุดโจรเรียกค่าไถ่ยอมรับเงินที่ 2.2 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่รัฐบาลยอมให้หักภาษีได้ ก็บอกแล้วไงครับว่าสมัยนั้นเรียกค่าไถ่กันเป็นล่ำเป็นสัน ต้องมีกฏหมายมารองรับ ปัจจุบันก็ยังมีนะครับกฏหมายนี้ แต่เรียกเป็นอย่างอื่น

ใครๆ ก็ว่าคุณ Jean แกขี้เหนียวนะครับ ถ้าไม่เหนียวก็คงไม่รวยนะครับ แกเคยเขียนหนังสือชื่อ How to Be Rich ด้วยนะครับ มีเกร็ดขำ ๆ ของแกอยู่เรื่องที่โด่งดังมากคือ เมื่อแกย้ายไปอยู่ที่ Sutton Place เมือง Surrey ประเทศอังกฤษ ก็จะมีคนไปเยี่ยมเยียนเยอะแยะ โดยเฉพาะเรื่องงาน แล้วคงมาขอใช้โทรศัพท์กันอย่างเม้าท์มัน แกเลยสั่งติดโทรศัพท์หยอดเหรียญให้ใช้กันซะเลย เฉพาะพนักงานที่มีสิทธิ์ในการใช้โทรศัพท์ของบริษัทเท่านั้นที่จะมีโค้ดในการ ใช้โทรออก เป็นไงล่ะครับ อย่างนี้รวยไม่เลิกนะครับ แต่แกก็เอาเงินมาคืนให้สังคมอย่างชนิดเป็นชิ้นเป็นอัน และเนื่องจากคุณ Jean เป็นคนที่ชอบศิลปะ จึงได้ริเริ่มที่จะเสาะหาศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด รูปปั้น เครื่องประดับ กะโหลก กะลา โบราณหายาก มาแสดงให้ผู้สนใจได้ชมกัน

J. Paul Getty Museum เป็นความคิดของคุณ Jean ทั้งนั้นครับ พิพิธภัณฑ์ J. Paul Getty ดั้งเดิมน่ะต้องอยู่ที่ เมืองมาลิบู นะครับ แต่มีการสร้างสาขาเพิ่มเติมเพื่อเป็นแหล่งวิจัยเพื่อการศึกษาด้านศิลปะที่ใน เมือง Los Angeles เลย อลังการมาครับ

ถ้าจะไปก็ต้องขึ้น Freeway สาย 405 แล้วไปลงที่ Getty Drive ได้เลยครับ ตั้ง GPS ไว้ ไม่หลงแน่ แล้วที่ว่าคุณ Jean แกคืนให้สังคมน่ะนะครับ ค่าเข้าชมนี่ฟรีนะครับ เสียแต่ค่าที่จอดรถ 15 เหรียญขาดตัว ก็ 450 บาทล่ะครับ อยูได้ทั้งวัน



สำหรับผมน่ะ ชอบที่มาลิบูครับ เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่า J.Paul Getty Museum at the Getty Villa in Malibu วันที่ผมไปเยี่ยมชมเมื่อเร็วๆ นี้นะครับ ทัวร์ไกด์ที่พากลุ่มของเราเดินเที่ยวชื่อ คุณแมนดี้ ซึ่งเป็นสมาชิกของ Docent Council คือกลุ่มคนที่ชื่นชอบศิลปะ และอาสาทำงานให้กับพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทำฟรีนะครับ จิตอาสาครับ มีการอบรมอะไรต่อมิอะไรเสร็จสรรพเลยครับ งานนี้ถือเป็นเกียรตินะครับ ถ้าได้ทำเพราะเป็นประสบการณ์ที่ดี

คุณแมนดี้ บอกว่าช่วงที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนี้ ก็เพื่อจำลองเอา Villa deiPapiriซึ่งเป็นบ้านของคหบดีสมัยโรมัน มานำเสนอ ทีแรกผมก็ว่างั้นๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่เธอก็อธิบายแบบเมามันเรื่องบ้านนี้จนผมคล้อยตามเลยครับ ว่ากันว่าบ้านที่จำลองมานี้น่ะมีจริงครับ อยู่คนละฟากภูเขาไฟวิสุเวียส (Vesuvius) กับเมืองปอมเปอี (Pompeii) ไงครับ ภูเขาไฟวิสุเวียส ที่เมืองนาโปลี (Napoli) ก็เมือง เนเปิลส์ (Naples) ประเทศ อิตาลี หลายท่านต้องเคยไปแล้วแน่ๆ แต่ต้องไม่เจอ Villa deiPapiriแน่นอนครับผม เพราะ Villa นี้อยู่เมือง Herculaneum ซึ่งยังไม่มีการขดกซากปรักหักพังนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยตั้งแต่ภูเขา ไฟวิสุเวียสระเบิดในปี 79 A.D. นั่นล่ะครับ ก็ต้องเกือบสองพันปีกันเชียวล่ะครับ

การที่พิพิธภัณฑ์สามารถสร้างขึ้นมาได้นั้น เป็นการรวบรวมผังบ้านต่างๆ ของเมือง Pompeii, Herculaneum และ Stabiaeในสมัยโรมันเรียบเรียงใหม่ แล้วสร้างขึ้นมา ให้เหมือนจริงที่สุด ผมว่าต้องเหมือนจริงที่สุดแน่ครับ เพราะสถานที่ตั้ง Getty Villa นี้ อยู่บนเนินสูงมองลงมาเป็นทะเล เหมือนที่ Naples เลยครับ สวยมากจริงๆครับ

แมนดี้บอกว่าบ้านเรือนของชาวโรมันในสมัยนั้นได้รับอิทธพลจากกรีกครับ และเนื่องจากเมือง Herculaneum นี้เป็นเมืองที่น่ารวยมากครับ ว่ากันว่ารวยกว่าเมืองปอมเปอีอีกนะครับ ตอนก่อนภูเขาไฟระเบิดปิดตายเมืองนี้น่ะ มีแต่พวกไฮโซ อยู่ทั้งนั้นครับ ถึงแม้ว่าบ้านที่จำลองมานี้ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ แต่เราก็สามารถนึกภาพตามที่แมนดี้อธิบายได้อย่างดี

ผมสังเกตุว่าบ้านไฮโซโรมันนี้ ไม่ว่าจะอยู่ไหน ต้องมองเห็นวิวที่เป็นสวน เป็นที่โล่งๆ ขนาดที่ห้องครัวยังต้องมีสวนครัวแบบสวยงามเลยครับ โอ้ย แต่สิ่งที่ผมสยองคือ แมนดี้บอกว่าอาหารจานโปรดที่โชว์ความมั่งคั่งคือ นกยูง นกกระจอกเทศ หรือแม้กระทั่งหนูยัดไส้ แต่พ่อครัวแม่ครัวคงเก่งครับเพราะเป็นอาหารหลักจริงๆ พวกยัดใส้นี่

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ สระน้ำและรูปปั้นของเทพเจ้าต่างๆ และที่สำคัญคือต้น Bay Laurel หรือ ต้นชัยพฤกษ์ นี่ต้องมีเยอะๆ เพราะนอกจากจะใช้เป็นอาหาร เป็นยารักษาแผล เป็นเครื่องประดับในบ้านแล้ว ใบ Bay Laurel นี้ยังเป็นเครื่องหมายของผู้ชนะ อะไรประมาณนั้น ก็ที่เขาทำเป็นเหมือนมงกุฏมอบให้ผู้ชนะการแข่งขันกีฬาไงครับ

คำถามคือ ต้นอื่นมีถมไป ทำไมต้องเป็นใบ Bay Laurel ใช่ไหมครับ เรื่องมันมีสิครับ สืบเนื่องมาจากอพอลโล (Apollo) เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ แล้วยังเป็นเทพแห่งสัจจะและการดนตรีด้วย Apollo หรือถ้าเป็นภาษากรีก จะเป็นอพอลลอน บุตรชายคนโตของมหาเทพซุส กับนางเลโต เป็นหนึ่งใน 12 เทพ แห่งโอลิมปัส มีพี่สาวฝาแฝดชื่อ อาร์เทมิส หรือ ไดอาน่า ในภาษาโรมัน ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์



เพราะพ่อผมหญ่ายมาก แล้วผมก็หล่อมากด้วย ก็เลยชอบแกล้งคนโน้นคนนี้ ทีนี้ไปเจอะคิวปิด (Cupid) เทพแห่งความรักที่น่ารักเหมือนเด็กน้อยเข้า ก็ดันไปแซวว่าเป็นเด็กเป็นเล็กทำไมถึงมาเล่นธนูซึ่งเป็นของผู้ใหญ่ ตอนนั้น Cupid อาจจะอารมณ์ไม่ดีละมังเลยยิงศรรักเข้าที่อกของ Apollo แล้วมองไปเห็น Daphne ซึ่งเป็นนางอัปสร รูปงามธิดาของ Peneusเทพประจำแม่น้ำ ก็ยิงลูกศรแห่งความเบื่อหน่ายไปที่นาง เป็นไงล่ะครับ Apollo ก็หลงรักนางหัวปักหัวปำ ส่วน Daphne ก็ให้รู้สึกสะอิดสะเอียดไม่อยากพบ Apollo เลย ทีนี้ก็เกิดการไล่ล่าหาความรักกันล่ะสิ

นางอัปสรผู้เลอโฉม หนีไม่ทัน Apollo ผู้แข็งแกร่งที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความรัก นางไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยไปขอให้ท่านพ่อช่วย ท่านพ่อก้ไม่รู้จะทำอย่างไรที่จะช่วยลูกสาว เลยเสกให้เป็นต้น Bay Laurel ไปซะเลย Apollo เศร้ามา แต่ก็รักไม่เสื่อมคลายจึงมีเทพบรรหารว่า นับแต่บัดนี้ต้น Bay Laurel นี้จะเป็นต้นไม้สุดเลิฟของเขา อันคนทั้งหลายพึงเด็ดช่อใบร้อยพวงมาลา เป็นรางวัลแก่กวีและนักดนตรีสืบต่อไป ต้น Bay Laurel เลยเป็นต้นสุดฮิต มาจนวันนี้ บ้านชาวโรมันสมัยนั้นมีต้น Bay Laurel ทั่วทุกมุมเลยเชียวครับ
ที่ผมเล่ามาให้ฟังนี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เท่านั้นนะครับ ส่วนที่เป็นศิลปะพวกรูปวาด รูปปั้น อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะครับ ต้องเดินดูเองแล้วจะซาบซึ้ง นอกจากนี้บางที่เขาก็มีโชว์ที่น่าสนใจ ต้องคอยเช็คดูครับว่าเมื่อไหร่

ผมน่ะเดินไปเดินมาแล้วหิว เลยไปนั่งทานอาหารที่ Café ของเขา ใช้ได้ครับ อาหารไม่เลว แต่บรรยากาศดีมาก ช่วงที่ผมไปนี้งานศิลปะที่โชว์อยู่มีชื่อว่า Modern Antiquity ซึ่งรวบรวมผลงานของ Picasso, de Chirico, Léger, and Picabia มาไว้ให้ชมกัน ผมน่ะไม่ใช่แฟนตัวยงของศิลปะในยุคนั้น ก็เลยได้แต่เรียบๆ เคียง ดูโน่นนี่ แล้วก็แอบฟังไกด์ เขาอธิบาย ก็พวก Docent Council นั่นล่ะครับ แต่ไม่ใช่แมนดี่แล้ว เป็นคนอื่น อธิบายดี แต่ผมก็ยังไม่เลิฟอยู่ดีครับ

ถ้าใครได้ไป L.A. แล้วเบื่อไม่รู้จะทำอะไรดี โทรไปจองที่จอดรถที่ J. Paul Getty Museum ได้เลยครับ ไม่ผิดหวังแน่ แล้วถ้ายังเบื่ออีก ก็ขับรถต่อไปอีกหน่อยเลียบชายฝั่งมาลิบู ไปทานอาหารที่ Shopping Mall แถวนั้น ฟลุ๊คๆ เจอดาราอีก เพราะแถวนั้นบ้านดาราเยอะ แล้วเขาชอบมาช้อปมากินอาหารกันน่ะครับ
ฉบับนี้ปฐมฤกษ์ของคอลัมน์ Travelogue เลยยาวหน่อยนะครับ หวังว่าคงชอบกันครับ ติชม ให้กำลังใจผ่าน editor@aiglemag.com ได้ เลยครับ พบกันใหม่ฉบับหน้าครับ

สูง ยาว เข่าดี

ความสูงเพิ่มกันได้จริงหรือ เราจะสูงกว่าพ่อแม่ได้หรือไม่ กลัวตัวเตี้ย ทำไงดี คำถามอมตะเหล่านี้ เกิดขึ้นได้ในเกือบทุกครอบครัว แล้วพ่อแม่ก็ทำทุกวิถีทางที่จะให้ลูกตัวสูง ถูกมั่งผิดมั่งก็ว่ากันไป แล้วจะไปลองผิดลองถูกทำไม มาเรียนรู้เรื่องความสูงกันสักนิดดีกว่า

สมัยผมเด็กๆ อยู่ชั้นประถม ผมน่ะเป็นคนแรกในแถวเวลาเคารพธงชาติเลย ไม่ใช่เพราะขยันหรือเก่งกาจอะไรหรอกครับ คือผมเตี้ยสุดในชั้นเลยครับ พอถึงมัธยมปลายค่อยดูดีหน่อย ได้ไปอยู่เกือบๆ ปลายแถว สูงขึ้นแบบชนิดทะลึ่งพรวดจริงๆ ผมว่าคงมีหลายคนที่มีประสบการณ์แบบเดียวกับผม แต่ก็มีอีกหลายคนที่มีประสบการณ์แบบอื่นๆ คือสูงอย่างต่อเนื่อง หรือบางคนก็อาจค่อยๆ สูง หรือเป็นม้าตีนปลาย คือมาสูงจริงๆ ตอนมัธยมปลายเข้าไปแล้ว

ผมว่าเราน่าจะมาทำความเข้าใจเรื่องความสูงกันสักนิดดีกว่านะครับ จะได้ไม่ต้องกังวลและปฏิบัติตัวได้ถูกต้องตรงจุด และที่สำคัญทันเวลาครับ ใช่ครับความสูงนี่มีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมากครับ ผมไปปรึกษาอาจารย์หมอชลันธร ปรียาสมบัติ กุมารแพทย์ สถาบันกุมารเวช ที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท มาครับ ท่านเป็นอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญเรื่องต่อมไร้ท่อในเด็กน่ะครับ ได้ประโยชน์มากเชียวครับ



อาจารย์บอกว่า ศักยภาพในการเจริญเติบโตของเด็ก ไม่ว่าจะสูงได้เท่าไหร่ หรือจะแตกหนุ่มแตกสาวกันเมื่อไหร่นั้นพอจะประเมินได้จาก “อายุกระดูก” (Bone Age) โดยการเอ็กซ์เรย์มือซ้าย และนำผลไป เทียบเคียงกับรูปมาตรฐาน เพื่อวิเคราะห์ว่าอายุกระดูกอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตามวัยหรือไม่
จริงๆ แล้วลูกๆ ของเราจะสูงหรือเตี้ยเท่าไหร่พอจะประเมินได้จากตัวคุณพ่อคุณแม่ครับ คือ ส่วนใหญ่บวกลบไม่เกิน 8 เซ็นติเมตรจากค่าเฉลี่ยของความสูงของคุณพ่อคุณแม่ (mid-parental height) แต่มีช่วงนาทีทองที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจ หากต้องการช่วยเสริมให้ลูกสูงเท่ ได้สมใจนะครับ นาทีทองของเด็กน่ะ คือ เขาสูงของเขาเองอยู่แล้ว แต่ก็อาจมีตัวช่วยให้สูงขึ้นกว่าเกณฑ์ของเขาได้อีกนะครับ
การเติบโตแบบพรวดเกินไป หรือช้าเกินไปใช่ว่าจะดีนะครับ บางทีนั่นคือความผิดปกติร่างกายของเด็กนะครับ เรามาดู การเติบโตแบบมาตรฐานกันดีกว่าครับ

สำหรับลูกสาวช่วงอายุ 8-13 ปี เป็นช่วง ที่เริ่มเป็นสาว คือเริ่มมีหน้าอกเพราะนี่เป็นสัญญาณว่ารังไข่เริ่มทำงานแล้ว โดยเฉลี่ยช่วงอายุ 10-11 ปีเป็นช่วงที่เด็กส่วนใหญ่เริ่มเป็นสาว แต่มีบวกลบได้บ้าง หากอายุ 13 ปีแล้วยังไม่มีหน้าอก ควรรีบปรึกษาแพทย์นะครับเพราะอาจมีสิ่งผิดปกติแล้ว พอเริ่มมีหน้าอกจะเป็นนาทีทองของลูกสาวแล้วนะครับ โดยจะสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 2 ปี คือ 7-9 เซ็นติเมตรต่อปี ต่อจากนั้นจะเริ่มมีประจำเดือน ซึ่งร่างกายก็จะค่อยๆ เริ่มสูงช้าลง และจะหยุดสูงภายใน 3 ปี หลังมีประจำเดือน
สำหรับลูกชายจะ เริ่มเป็นหนุ่มช้ากว่าลูกสาว แต่จะมีเวลาช่วงตัวสูงได้นานกว่า โดยช่วงที่เริ่มเป็นหนุ่มอาจเริ่มได้ตั้งแต่ 9-14 ปี เฉลี่ยที่อายุ 12-13 ปี โดยลูกอัณฑะจะใหญ่ขึ้น หน้ามัน เริ่มมีสิวและมีกลิ่นตัว พอเสียงเริ่มแตกก็จะเป็นนาทีทองลูกชายละครับ คราวนี้สูงพรวดๆ 8-9 เซ็นติเมตรต่อปีเชียวล่ะครับ ถ้าอายุ 14 ปี แล้วยังไม่มีสัญญาณแตกหนุ่มนี้แล้วล่ะก็ ต้องปรึกษาแพทย์สักหน่อยนะครับ

แบบปกติก็ง่ายล่ะครับ แล้วถ้าอยากจะใส่ปุ๋ย เอ้ย…อยากเสริมศักยภาพให้ลูก สูงยาว เข่าดี สมใจ ก็มาหาอาจารย์ชลันธร ได้เลยครับ อาจารย์บอกว่าช่วงนาทีทองนี่ให้รีบมา อย่าช้า ไม่งั้นจะช้าไปและไม่มีประโยชน์นะครับ

วิธีการของอาจารย์ไม่ใช่แต่เอาใจคุณพ่อคุณแม่นะครับ อาจารย์บอกว่า สูงไปก็ไม่ดี เล็กก็ไม่ได้ ต้องพอดี ต้องตรวจดูว่าลูกของคุณเป็นม้าตีนต้นหรืออ้วนเกินไปหรือไม่ อาจารย์บอกว่ากรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนดความสูง เด็กที่สาวเร็วเกินไปบางรายจำเป็นต้องรักษา แต่บางรายที่ตัวสูงตุนไว้มากพอแล้วอาจไม่ต้องทำอะไร ให้มาดูเรื่องความสูงก็พอ เด็กที่ตัวเล็กจากขาดฮอร์โมนบางอย่าง บางครั้งอาจมีลักษณะดูเหมือนเด็กที่เป็นม้าตีนปลายก็ได้ ซี่งอาจต้องเจาะเลือดดูระดับฮอร์โมนที่สงสัยว่าจะขาด

บางครั้งก็ต้องมาดูว่าทำไมลูกเราตัวเล็กกว่าคนอื่น มีโรคประจำตัว หรือมีโรคเรื้อรังหรือไม่ มีการใช้ยารักษาอะไรอยู่หรือเปล่าที่ทำให้เกิดการโตช้า พวกม้าตีนปลายนี้อายุกระดูกจะน้อยกว่าอายุจริง ความสูงจึงมาเพิ่มเร็วตอนที่อายุมากขึ้น คือใกล้ๆ เวลาที่เด็กคนอื่นควรหยุดสูงได้แล้ว
พออาจารย์ตรวจดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็อาจเสริมฮอร์โมนให้ตามความเหมาะสม อาจารย์บอกว่า การให้โดยไม่จำเป็น หรือให้เมื่ออายุกระดูกแก่มากเกินไป การทำ Growth Hormone Therapy นี่ก็จะไม่เกิดผลนะครับ ทุกอย่างต้องพอดีๆ ทางที่ดีปรึกษาอาจารย์ล่วงหน้าดีกว่าครับ
จริงๆ แล้วในช่วง 3 ปีแรก ถ้าลูกน้ำหนักน้อยเกินไป หรือตัวเล็กกว่าใคร ต้องลองมาปรึกษาแพทย์ดูแล้วล่ะครับ เพราะอาจมีปัญหาต่อการเจริญเติบโตตามมาได้ทีหลัง ไม่ใช่แค่ความสูงแต่เป็นเรื่องฮอร์โมนด้วยนะครับ แล้วก็อย่าคิดว่าขุนลูกให้อ้วนช่วงนี้ล่ะน่ารักน่าเล่น แล้วลูกก็จะโตเอง โนเลยนะครับอ้วนไปก็ไม่ดีครับ เนื่องจากเด็กอ้วนอาจเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็วกว่าปกติ

อาหารหลักๆ ในช่วงนี้เห็นทีจะไม่พ้น เนื้อ นม ไข่ ผลไม้ ซึ่งจะให้ผลดีกว่าอาหารจำพวกแป้งเป็นหลัก นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเพราะจะเป็นตัวกด Growth Hormone
ช่วงเข้าสู่วัยรุ่น ควรให้ลูกออกกำลังกาย อย่างน้อย 20-30 นาที / วัน อาหารก็ยังต้องเต็มที่ตามที่บอกล่ะครับ แต่ที่ต้องเข้มงวดนิดนึงคือเรื่องการนอน อย่าให้ลูกนอนดึกตื่นสาย เนื่องจากฮอร์โมนเจริญเติบโตจะหลั่งหลัง เข้านอนหลังจากนั้นก็จะหยุดในตอนเช้า เลี้ยงลูกให้สูง ต้องบำรุงดูแลให้ดี

ดูตัวอย่างใกล้ตัวจากอาจารย์ชลันธรเลยครับ คุณพ่อของอาจารย์ก็เป็นกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อเหมือนกัน แล้วคุณพ่อคุณแม่ของอาจารย์ก็สูงประมาณ 160 เซ็นติเมตรเท่านั้น แต่อาจารย์น่ะสูงกว่าคุณพ่อตั้ง 12 เซ็นติเมตร เกินมาตรฐานบวกลบ 8 เซ็นติเมตรอีกนะครับ ยังต้องให้ตอบอีกไหมครับว่าอาจารย์ทำได้ไง มาพบอาจารย์เลยดีกว่าครับ

I’m afraid that my kids won’t be tall. What should I do? Parents and children, especially teenagers, often worry when they notice that they are not as tall as many of their peers and classmates of the same age.
The answer is simple – moms and dads, don’t worry too much. Aiglê had a chance to discuss this matter with Ajarn Chaluntorn Preeyasombat, M.D., Pediatrician from Samitivej-Sukhumvit, who specializes in Endocrinology.

Ajarn Chaluntorn recommends Growth Hormone Therapy. Easy enough, but the timing is vital. Treatment has to start at the right time otherwise it will be a useless. Generally,
children will be roughly 8 centimeter taller or shorter than their parents. So, if your child is much below his or her genetic potential then that may signal a problem.

Alternatively, parents can also ask their pediatrician to measure their child’s bone age to assess the maturation of his or her bones. This procedure can predict the height of your child as well.
For girls, the window of their height comes as early as between the ages of 8-13, or average age at 10-11 years, when their ovaries start to work and their breasts will grow. During this period, they will grow at a rate of 7-9 centimeters per year. If your daughter doesn’t have growth velocity by the age of 13, you should consult your pediatrician. This growth will decline 3 years after she started her period.

For boys, the window comes a bit later than girls or roughly between 9-14 years old, average age at 12-13 years, when their testicles start to work and they will erupt in pimples, start to have body odor, and their voice gets deeper. During this period, they will grow at a rate of 8-9 centimeters per year. So if by the age of 14, your son doesn’t spurt up like others, you should consult your pediatrician. Please remember that girls grow faster than boys, so don’t be alarmed if your daughter is taller than your son during their early adolescence.
Some teens may develop a lot earlier than their friends (called precocious puberty), whereas others develop much later than others of the same age (called delayed puberty).

Usually, the best time for Growth Hormone Therapy is during the spurting growth period. It will be too late to have such therapy once the girls start their periods and the boy is older than 15 years old. While there are many medical conditions that can cause children to be short, or have a short stature, most children who are short are considered normal. But, if a child is much below his genetic potential then that may indicate a problem.

During the first 3 years, children need protein and minerals from meat, milk, eggs and fruits/fibers rather than starch. They should avoid drinks with sugar as it will shun Growth Hormone. Also during adolescence, children need to exercise at least 30 minutes per day and go to bed and get up early.
Usually, growth hormone starts to discharges 1 hour after they sleep and stops early in the morning. So, the earlier they sleep the more hormones they will get.

Ajarn Chaluntorn, himself, is the best example of “Growing Taller” than his parents. His father and mother are about 160 centimeter high but Ajarn Chalutorn is 12 centimeter higher
than them. His father is also an Endocrinologist. Ajarn Chaluntorn revealed that he had never slept later than 9 o’clock at night during his adolescence. Need I explain further?

20 ท่าออกกำลังกาย Weight training สำหรับผู้เริ่มต้นการออกกำลังกายที่หลายคนมองข้าม


Weight training เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างร่างกายให้แข็งแรง และมีสุขภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักกีฬา จะสามารถช่วยเพิ่มสมรรถภาพให้ดียิ่งขึ้น คนทั่วไปที่ทำงานตามปกติจะมีปัญหาที่ตามมาคือปริมาณกล้ามเนื้อน้อยลง โดยเฉลี่ยคือประมาณ 5-10 % ทุก ๆ สิบปี ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้การเผาผลาญลดลง และทำให้มีการอ้วนขึ้นได้ง่าย ทั้งที่รับประทานอาหารปริมาณเท่าเดิม แถมยังมักจะสะสมเป็นพุงอ้วน ๆ อีกด้วย การฝึก weight training จึงเป็นวิธีการที่ป้องกันปัญหาเหล่านี้

หลายคนไม่อยากที่จะฝึกกล้ามเนื้อเพราะกลัวจะมีน้ำหนักมากขึ้น หรือมีกล้ามขึ้น แบบนักกล้าม แต่อันที่จริงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแบบนั้น การฝึกที่เหมาะสมสามารถทำให้กล้ามเนื้อ firm ขึ้นโดยที่ไม่ได้มีรูปร่างแบบนักกล้าม สิ่งที่ตามมาก็คืออาการปวดหลัง ปวดข้อจากการทำงานจะลดน้อยลง สุขภาพแข็งแรงขึ้น และการเผาผลาญต่าง ๆ ดีขึ้น

สำหรับการฝึกกล้ามเนื้อแบบนี้มีเทคนิคและเครื่องมือในการฝึกมาก มาย สำหรับผู้เริ่มต้น อาจจะเริ่มทดลองฝึกด้วยการฝึกพื้นฐาน 20 อย่างนี้กันดูก่อนได้ รายการที่จะแนะนำต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องฝึกแบบเรียงลำดับ อาจจะเริ่มฝึกจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ โดยเฉพาะที่ขา ก่อนที่จะไปฝึกกล้ามเนื้อมัดที่เล็กกว่าบริเวณร่างกายครึ่งบน กล้ามเนื้อที่ลำตัวควรจะฝึกก่อนที่ฝึกกล้ามเนื้อที่หัวไหล่และแขน
การฝึกมักจะสลับกันระหว่าง ท่าทางในการผลัก pushing movement และในการดึง pulling movement เพื่อที่จะให้กล้ามเนื้อที่เพิ่งได้ฝึกไปได้พักบ้าง

Upper Body Exercises
1. Bench Press

2. Bicep Curls
3. Flyes
4. Lateral Raises
5. Pushdowns
6. Shoulder Press / Military Press
7. Triceps Extension / French Curl
8. Upright Rows
    Lower Body Exercises
1. Leg Curl
2. Leg Extension
3. Leg Press
4. Seated Calf Raises
5. Standing Calf Raises
6. Squat
  Back Exercises
1. Back Extensions
  2. Bent Over Row
3. Deadlift
4. Pulldown
  Core Exercises
1. Crunches
2. Leg Raises
ลองจัดตารางฝึกกันดูนะครับ
แรก ๆ อาจจะฝึกวันละ 5-6 ท่า
แต่ละท่าทำ 3 รอบ รอบละ 15 ครั้งนะครับ
อย่าลืมยืดกล้ามเนื้อทุกครั้งด้วยนะครับ

Face Off - Putting our feature on the line to test latest high-tech treatments

Face Off - Putting our feature on the line to test latest high-tech treatments.    
 
Major plastic surgery is cold. Non-invasive, zero downtime treatments are hot. They’re safer, they’re painless and you can do the during your lunch break before heading back to work looking great. Or are they? Recent tabloid stories of aging stars leaving a certain clinic in Chidlom with droopy eyelids certainly put a damper on the Botox-craze. And with some of these treatments costing over B10,000 a pop, we’ve got to ask: do they really deliver results? To find out, BK sent out some very brave guinea pigs to test five of these much-hyped, high-tech treatment.

The promise: Fewer winkles.
The guinea pig: Greg, 32, managing editor.
The weapon: Botox is Allergan’s brand name for Botulinum toxin. A teaspoon of the stuff could kill off 1.2 billion people claims Wikipedia, making it the most toxic substance know to man. Dermatologist Rassapoom Sumaetheiwit, M.D., prefer to call it a protein. “It blocks the nerves controlling your muscles,” he points out as he crumples a piece of paper in his hand. “When your facial muscles contract, this happens. Botox stops that. “As opposed to surgery, the treatment is fast and there’s no downtime.


The dangers: “Statistics say droopy eyelids occur in about 2% of case.” Admits Dr. Rassapoom. “Personally, I’ve never had a problem and I can say Samitivej Hospital has never had any incidents. It’s all about technique. In any case, a droopy eyelid will disappear within town months, it’s not permanent. Botox has been used for 40 years. It’s safe; as within three days it’s flushed out your system, not like collagen.”

The target: Most commonly, people in their 40s and 50s who wat fewer wrinkles around the eyes and forehead. But new Botox techniques allow doctors to perform a kind of facelift by paralyzing downward pulling muscles and leaving the others to naturally lift your entire face. Botox can also reduce cheek size and open up eye (particularly Asia eyes). Dr. Rassapoom admits using botox on patients as young as 17 as a non-invasive alternative to surgery.
 
The treatment: Hope you’re not afraid of needles. Dr. Rassapoom decided a little crow’s feet treatment was best for me, but most people get that, and the frown lines (between your eye browns) and the forehead done. Each side of my eye was injected about six times (ouch!) and the whole thing took about 5 minutes. A whole face lift could take up to 50 minutes.

The result: After a couple days, the Botox really kicks in. When I smile, nothing really moves on the sides of my eyes. It does mean smooth skin and fewer wrinkles but also looks a bit creepy (see right). There is no numbness or tingling sensation whatsoever though and I can still squint. I have to admit, I’d like to try it on my forehead now.

Essentials: B5,000 would cover a small area, so you’d have to count B15,000 for crown’s feet, frown lines and forehead. The effects last 4-6 months. Think of it a subscription. For lifting or facial remodeling, you’re going to have to get a quote. Dr. Rassapoom is based at Samitivej Hospital, every wed, 8am-3pm.

 
Contact Info
Samitivej Sukhumvit Hospital, 133  Sukhumvit 49, Bangkok, 02-711-8000
Samitivej Srinakarin Hospital, 488 Srinakarin Rd., Suanluang, Bangkok, 02-731-7000
www.samitivejhospitals.com

Content By Sarita Urupongsa, BK Magazine

หมอฟัน…ทำไมต้องไปหา?

     สุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา  นอกจากสุขภาพของร่างกายและจิตใจแล้ว  สุขภาพของฟันก็เป็นสิ่งที่เราละเลยไม่ได้  หากสุขภาพของฟันเสื่อมลง  นอกจากจะทำให้สุขภาพในการทำงานของเราน้อยลง  ยังอาจส่งผลเสียถึงบุคลิกภาพ  และค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงอีกด้วย  ฉะนั้นเราจึงควรพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ด้วยการหมั่นดูแลรักษาสุขภาพฟันด้วยตนเอง  และหมั่นพบทันตแพทย์เป็นประจำ
ดูแลสุขภาพด้วยตัวคุณเอง


การทำความสะอาดฟัน
1. แปรงฟันให้สะอาดและถูกวิธี  ร่วมกับการใช้เส้นใยขัดฟัน  อย่างน้อยวันละ  2-3 ครั้ง
2. ควรใช้แปรงชนิดขนแปรงนุ่ม (Soft) ปลายมน   หน้าตัดเรียบ  และควรเปลี่ยนแปลงสีฟันทุก  3-6 เดือน  หรือเมื่อแปรงสีฟันเริ่มเปลี่ยนรูป
3. ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ผสมเพื่อป้องกันฟันผุ
4. ตรวจดูฟัน  เหงือก  และอวัยวะในช่องปากด้วยตนเอง


อาหาร

     1. ควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนในปริมาณที่พอเหมาะ  เพื่อสุขภาพของร่างกายรวมทั้งสุขภาพของเหงือกและฟัน  โดยเน้นอาหารจำพวกผัก  ผลไม้  ถั่ว  และเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย
     2. ไม่ควรรับประทานอกหารประเภทหวานจัด  อาหารที่มักติดตามซอกฟัน  และอาหารที่ต้องอมอยู่ในปากนานๆ เช่น  ลูกกวาด  ขนมอบกรอบ  คุกกี้  เนื่องจากจะทำให้มีโอกาสเกิดฟันผุสูงขึ้น


พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
     1. การเคี้ยวอาหารข้างเดียวเป็นประจำ  จะส่งผลให้ข้างที่ไม่ได้ใช้งานเกิดฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่าย  และยังอาจทำให้ใบหน้าสองข้างมีขนาดไม่เท่ากัน
     2. การรับประทานอาหารแข็ง  จะทำให้ฟันสึก  ฟันร้าว  และปวดเมื่อยบริเวณขากรรไกร
     3. การกัดปากกาและดินสอ  จะทำให้ฟันสึกเป็นร่องตามลักษณะวัสดุที่กัด  และอาจทำให้ตำแหน่งของฟันผิดไปจากที่ควรเป็น
     4. การใช้ไม้จิ้มฟันทำความสะอาดซอกฟัน  จะส่งผลให้ฟันห่าง  เศษอาหารอัดติดซอกฟันทำให้เหงือกอักเสบได้
     5. การนอนกัดฟัน  จะทำให้ฟันสึกและปวดเมื่อยบริเวณข้อต่อขากรรไกร
     6. การดูดนิ้ว  จะทำให้ฟันหน้าบนยื่น  ฟันหน้าล่างหุบเข้า  และการสบฟันผิดปกติ


ทันตแพทย์ช่วยท่านได้อย่างไรในการดูแลสุขภาพฟัน
     ท่านควรพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน – 1ปี  ในการพบเพื่อตรวจสุขภาพฟันและอวัยวะภายในช่องปาก  ทันตแพทย์จะตรวจดูช่องปากด้วยตาเปล่า  และอาจใช้การเอกซเรย์แบบด้านประชิดฟัน  ( Bite  Wing )  แบบรอบปลายรากฟัน ( Periapical )  หรือแบบถ่ายภาพรอบศรีษะ ( Panoramic  Radiography )  ช่วยวินิจฉันในส่วนที่มองไม่เห็นเพื่อให้การตรวจละเอียดยิ่งขึ้น  เมื่อทราบสภาพของฟันและช่องปาก  หากต้องได้รับการรักษา  ทันตแพทย์จะอธิบายและแนะนำแนวทางการรักษาที่ท่านสามารถเลือกได้  พร้อมทั้งวางแผนการรักษาให้แก่ท่านหลังจากที่ท่านเลือกแนวทางที่ท่านต้องการแล้ว  การหมั่นมาพบทันตแพทย์เป็นประจำ  จะช่วยให้ทันตแพทย์สามาตถพบและทำการรักษาโรคทางช่องปากของท่านได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก  การปล่อยให้โรคลุกลามจะทำให้ทางเลือกในการรักษาน้อยลง  การรักษาเป็นไปได้ยาก  และเกิดค่าใช้จ่ายสูงตามมา


การถ่ายภาพรังสีรอบศรีษะ  (Panoramic  Radiography )
     เป็นการถ่ายภาพรังสีบริเวณกว้างเพื่อให้ได้ภาพของขากรรไกรบนและล่างติดต่อกันโดยตลอดบนฟิล์มเดียวโดยไม่มีอวัยวอื่นมาบดบัง  ภาพที่ได้จะช่วยให้เห็นฟันคุด  ฟันเกินที่ไม่ปรากฏในช่องปาก  พยาธิสภาพหรือรอยโรค  เช่น  ฟันผุจนมีเงาดำที่ปลายราก  กระดูกรอบฟันถูกทำลาย  ถุงน้ำ  (Cyst )  เนื้องอก  มะเร็ง  ภาพบริเวณกว้างนี้จะช่วยให้เห็นขอบเขตของรอยโรคว่าสิ้นสุดที่บริเวณใดของขากรรไกร  จากภาพทันตแพทย์ยังอาจพบรอยโรคที่บริเวณอื่นที่ไม่คาดคิดอีกด้วย  นอกจากนั้น  ภาพจะช่วยในการตรวจการพัฒนาการของความผิดปกติต่างๆ ตรวจการพัฒนาการของฟันและกระดูก  โดยเฉพระในระยะที่ฟันน้ำนมและฟันแท้กำลังขึ้น  และภาพนี้สามารถใช้ช่วยในการตรวจฟันของผู้ที่ไม่สามารถอ้าปากได้


การดูแลสุขภาพฟันในหญิงตั้งครรภ์
     หญิงตั้งครรภ์  จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน  มีผลทำให้เกิดการอักเสบของเหงือกได้สูงกว่าคนทั่วไป  และผลจากความต้องการแคลเซียมที่สูงขึ้นของมารดาทำให้มีการดึงเอาแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน  ผลทำให้ฟันผุง่ายขึ้น  ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ควรจะได้พบทันตแพทย์ในช่วงระยะตั้งครรภ์  3-6 เดือน  เพื่อรับการทำความสะอาดเหงือกและฟัน  ด้วยการขูดหินปูนและกำจัดคราบต่างๆ  พร้อมทั้งตรวจสุขภาพฟัน  ถ้ามีฟันผุการอุดเพื่อบูรณะฟันใหม่จะช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นได้  นอกจากนี้  การบริโภคอาหารที่ทีแคลเซียมสูงจะช่วยให้ฟันน้ำนมของลูกชึ่งสร้างตั้งแต่อายุครรภ์  5  เดือนแข็งแรงขึ้น



ด้วยความปรารถนาดีจาก
โรงพยาบาลสมิติเวช


 

รู้ไว้ก่อนจะสาย - สาวขนดกเกิดจากอะไร?











สาวๆ ที่กำลังกลัดกลุ้มกับการมีหนวดเคราขึ้นตามใบหน้า แขน และหน้าแข้ง ให้ทราบไว้ว่านั่นอาจเป็นอาการหนึ่งของโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ ซึ่งถุงไข่จำนวนมากไม่สามารถเติบโตได้เต็มที่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ฮอร์โมนจึงขาดความสมดุล ทำให้เกิดความผิดปกติ  มีขนขึ้นดก ประจำเดือนมาไม่ปกติ บางรายอาจมีภาวะอ้วนร่วมด้วย ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ภาวะมีบุตรยาก และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งโพรงมดลูกได้ด้วย สาวๆที่มีความผิดปกติดังกล่าวจึงควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุและรับการรักษา

หมอฟัน…ทำไมต้องไปหา?

     สุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา  นอกจากสุขภาพของร่างกายและจิตใจแล้ว  สุขภาพของฟันก็เป็นสิ่งที่เราละเลยไม่ได้  หากสุขภาพของฟันเสื่อมลง  นอกจากจะทำให้สุขภาพในการทำงานของเราน้อยลง  ยังอาจส่งผลเสียถึงบุคลิกภาพ  และค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงอีกด้วย  ฉะนั้นเราจึงควรพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ด้วยการหมั่นดูแลรักษาสุขภาพฟันด้วยตนเอง  และหมั่นพบทันตแพทย์เป็นประจำ
ดูแลสุขภาพด้วยตัวคุณเอง



การทำความสะอาดฟัน
1. แปรงฟันให้สะอาดและถูกวิธี  ร่วมกับการใช้เส้นใยขัดฟัน  อย่างน้อยวันละ  2-3 ครั้ง
2. ควรใช้แปรงชนิดขนแปรงนุ่ม (Soft) ปลายมน   หน้าตัดเรียบ  และควรเปลี่ยนแปลงสีฟันทุก  3-6 เดือน  หรือเมื่อแปรงสีฟันเริ่มเปลี่ยนรูป
3. ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ผสมเพื่อป้องกันฟันผุ
4. ตรวจดูฟัน  เหงือก  และอวัยวะในช่องปากด้วยตนเอง


อาหาร
     1. ควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนในปริมาณที่พอเหมาะ  เพื่อสุขภาพของร่างกายรวมทั้งสุขภาพของเหงือกและฟัน  โดยเน้นอาหารจำพวกผัก  ผลไม้  ถั่ว  และเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย
     2. ไม่ควรรับประทานอกหารประเภทหวานจัด  อาหารที่มักติดตามซอกฟัน  และอาหารที่ต้องอมอยู่ในปากนานๆ เช่น  ลูกกวาด  ขนมอบกรอบ  คุกกี้  เนื่องจากจะทำให้มีโอกาสเกิดฟันผุสูงขึ้น


พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
     1. การเคี้ยวอาหารข้างเดียวเป็นประจำ  จะส่งผลให้ข้างที่ไม่ได้ใช้งานเกิดฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่าย  และยังอาจทำให้ใบหน้าสองข้างมีขนาดไม่เท่ากัน
     2. การรับประทานอาหารแข็ง  จะทำให้ฟันสึก  ฟันร้าว  และปวดเมื่อยบริเวณขากรรไกร
     3. การกัดปากกาและดินสอ  จะทำให้ฟันสึกเป็นร่องตามลักษณะวัสดุที่กัด  และอาจทำให้ตำแหน่งของฟันผิดไปจากที่ควรเป็น
     4. การใช้ไม้จิ้มฟันทำความสะอาดซอกฟัน  จะส่งผลให้ฟันห่าง  เศษอาหารอัดติดซอกฟันทำให้เหงือกอักเสบได้
     5. การนอนกัดฟัน  จะทำให้ฟันสึกและปวดเมื่อยบริเวณข้อต่อขากรรไกร
     6. การดูดนิ้ว  จะทำให้ฟันหน้าบนยื่น  ฟันหน้าล่างหุบเข้า  และการสบฟันผิดปกติ


ทันตแพทย์ช่วยท่านได้อย่างไรในการดูแลสุขภาพฟัน
     ท่านควรพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน – 1ปี  ในการพบเพื่อตรวจสุขภาพฟันและอวัยวะภายในช่องปาก  ทันตแพทย์จะตรวจดูช่องปากด้วยตาเปล่า  และอาจใช้การเอกซเรย์แบบด้านประชิดฟัน  ( Bite  Wing )  แบบรอบปลายรากฟัน ( Periapical )  หรือแบบถ่ายภาพรอบศรีษะ ( Panoramic  Radiography )  ช่วยวินิจฉันในส่วนที่มองไม่เห็นเพื่อให้การตรวจละเอียดยิ่งขึ้น  เมื่อทราบสภาพของฟันและช่องปาก  หากต้องได้รับการรักษา  ทันตแพทย์จะอธิบายและแนะนำแนวทางการรักษาที่ท่านสามารถเลือกได้  พร้อมทั้งวางแผนการรักษาให้แก่ท่านหลังจากที่ท่านเลือกแนวทางที่ท่านต้องการแล้ว  การหมั่นมาพบทันตแพทย์เป็นประจำ  จะช่วยให้ทันตแพทย์สามาตถพบและทำการรักษาโรคทางช่องปากของท่านได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก  การปล่อยให้โรคลุกลามจะทำให้ทางเลือกในการรักษาน้อยลง  การรักษาเป็นไปได้ยาก  และเกิดค่าใช้จ่ายสูงตามมา


การถ่ายภาพรังสีรอบศรีษะ  (Panoramic  Radiography )
     เป็นการถ่ายภาพรังสีบริเวณกว้างเพื่อให้ได้ภาพของขากรรไกรบนและล่างติดต่อกันโดยตลอดบนฟิล์มเดียวโดยไม่มีอวัยวอื่นมาบดบัง  ภาพที่ได้จะช่วยให้เห็นฟันคุด  ฟันเกินที่ไม่ปรากฏในช่องปาก  พยาธิสภาพหรือรอยโรค  เช่น  ฟันผุจนมีเงาดำที่ปลายราก  กระดูกรอบฟันถูกทำลาย  ถุงน้ำ  (Cyst )  เนื้องอก  มะเร็ง  ภาพบริเวณกว้างนี้จะช่วยให้เห็นขอบเขตของรอยโรคว่าสิ้นสุดที่บริเวณใดของขากรรไกร  จากภาพทันตแพทย์ยังอาจพบรอยโรคที่บริเวณอื่นที่ไม่คาดคิดอีกด้วย  นอกจากนั้น  ภาพจะช่วยในการตรวจการพัฒนาการของความผิดปกติต่างๆ ตรวจการพัฒนาการของฟันและกระดูก  โดยเฉพระในระยะที่ฟันน้ำนมและฟันแท้กำลังขึ้น  และภาพนี้สามารถใช้ช่วยในการตรวจฟันของผู้ที่ไม่สามารถอ้าปากได้


การดูแลสุขภาพฟันในหญิงตั้งครรภ์
     หญิงตั้งครรภ์  จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน  มีผลทำให้เกิดการอักเสบของเหงือกได้สูงกว่าคนทั่วไป  และผลจากความต้องการแคลเซียมที่สูงขึ้นของมารดาทำให้มีการดึงเอาแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน  ผลทำให้ฟันผุง่ายขึ้น  ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ควรจะได้พบทันตแพทย์ในช่วงระยะตั้งครรภ์  3-6 เดือน  เพื่อรับการทำความสะอาดเหงือกและฟัน  ด้วยการขูดหินปูนและกำจัดคราบต่างๆ  พร้อมทั้งตรวจสุขภาพฟัน  ถ้ามีฟันผุการอุดเพื่อบูรณะฟันใหม่จะช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นได้  นอกจากนี้  การบริโภคอาหารที่ทีแคลเซียมสูงจะช่วยให้ฟันน้ำนมของลูกชึ่งสร้างตั้งแต่อายุครรภ์  5  เดือนแข็งแรงขึ้น



ด้วยความปรารถนาดีจาก
โรงพยาบาลสมิติเวช


Can Allergy ... be cured?

ตอบ:- เป็นคำถามที่พ่อแม่หลายๆท่าน ที่กำลังมีลูกมีอาการของโรคภูมิแพ้ มักจะถามแพทย์ผู้ดูแลเสมอ ก่อนอื่นเราคงต้องทราบก่อนว่า โรคภูมิแพ้เป็นอาการการตอบสนองของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่นบ้าน ซากแมลงสาบ รังแคแมว สุนัข ละอองเกสรหญ้า ทำให้เกิดการอักเสบของระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย โดยแสดงอาการการแพ้ออกมา เช่นเป็นผื่นลมพิษ บวม แดง หรือเป็นผดผื่นแดงคันตามแก้ม ข้อพับ แขนขา มีอาการจาม น้ำมูกไหล คันจมูก คันตา คัดจมูก เหมือนคนเป็นหวัดเรื้อรัง มีอาการไอ หายใจเหนื่อย แน่นหน้าอก เวลาเป็นหวัด อากาศเย็น หรือออกกำลังมากๆ ตื่นมาไอกลางคืน เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้น การรักษาโรคภูมิแพ้เหล่านี้คือ การใช้ยาที่ไป ช่วยควบคุมอาการของโรค โดยเป้าหมายคือ การไปลดอาการอักเสบของร่างกายที่เกิดต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น เพื่อทำให้ร่างกายไม่แสดงอาการของโรคออกมา การใช้ยาต่างๆ อาทิ ยากิน ยาสูดพ่นทางปากหรือทางจมูก ยาทาที่ผิวหนัง จะทำให้สามารถคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น จนบางครั้งอาจจะไม่แสดงอาการของโรคออกมาเลย ทำให้เราคิดว่าโรคภูมิแพ้หายแล้ว แต่ปัญหาคือการอักเสบต่อสารก่อภูมิแพ้ของร่างกายจะยังคงเกิดอยู่อย่างต่อ เนื่อง หากเราหยุดใช้ยาไปสักระยะ อาการของโรคก็จะแสดงออกมาอีก ดังนั้นการดูแลและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ จะทำให้การควบคุมอาการของโรคเป็นไปได้ดีขึ้น ในบางกรณีหากอาการของโรคกำเริบมากขึ้น อาจต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ต่อไป


เขียนโดย: น.พ. วสุ กำชัยเสถียร
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน
โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์

โรคสมาธิสั้น

 โรคสมาธิสั้น คือ กลุ่มอาการที่ประกอบด้วยการขาดสมาธิ  ควบคุมตนเองต่ำ  และซุกซน อยู่ไม่นิ่ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ขวบ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม อาการของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน บางรายมีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง และ ควบคุมตนเองต่ำเป็นอาการหลัก  บางคนอาจจะมีอาการขาดสมาธิเป็นปัญหาหลัก  พบทั่วโลก ในประเทศไทยพบ 3-5% ของเด็กในวัยเรียน
อาการ 
        ก. การขาดสมาธิ พบว่าเด็กจะมีลักษณะดังนี้
  1. ไม่สามารถทำงานที่ครูหรือพ่อแม่สั่งจนสำเร็จ
  2. ไม่มีสมาธิในขณะทำงานหรือเล่น
  3. ดูเหมือนไม่ค่อยฟัง เวลาพูดด้วย
  4. ไม่ตั้งใจฟังได้ไม่นาน และเก็บรายละเอียดได้น้อย ทำให้ทำงานผิดพลาดบ่อย
  5. ไม่เป็นระเบียบ
  6. มันหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความคิดหรือสมาธิ
  7. วอกแวกบ่อย
  8. ทำของใช้ส่วนตัวหรือของใช้ที่จำเป็นสำหรับงานหรือการเรียนหาย
  9. ขี้ลืม
 ข. อาการซุกซน อยู่ไม่นิ่ง และควบคุมตนเองต่ำ  จะมีลักษณะ ดังนี้
  1. ยุกยิก อยู่ไม่นิ่ง
  2. นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อยๆ ขณะอยู่ที่บ้านหรือในห้องเรียน
  3. ชอบวิ่ง หรือปีนป่ายสิ่งต่างๆ
  4. พูดมาก พูดไม่หยุด
  5. เล่นเสียงดัง
  6. ตื่นตัวตลอดเวลา หรือดูตื่นเต้นง่าย
  7. ชองโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถามโดยที่ยังฟังคำถามไม่จบ
  8. รอคอยไม่เป็น
  9. ชอบขัดจังหวะหรือสอดแทรกเวลาผู้อื่นกำลังพูดอยู่

หากเด็กมีลักษณะในข้อ ก หรือ ข รวมกันมากกว่า 6 อาการ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น
สาเหตุ
                                เกิดจากความบกพร่องของสารเคมีที่สำคัญบางตัวในสมอง  โดยมีกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยที่สำคัญ  ปัจจัยจากการเลี้ยงดูหรือสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงปัจจัยที่ทำให้อาการหรือความผิดปกติดีขึ้นหรือแย่ลง  มารดาที่ขาดสารอาหาร ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือถูกสารพิษบางชนิด เช่น ตะกั่ว ในระหว่างตั้งครรภ์ จะมีโอกาสมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้นสูงขึ้น และ 30-40% ของเด็กสมาธิสั้นจะพบความบกพร่องในทักษะการเรียน(learning Disorders)ร่วมด้วย
                        ไม่พบว่าการบริโภคน้ำตาลหรือช็อคโกแลตมากเกินไป การขาดวิตามิน สีผสมอาหาร โรคภูมิแพ้ การดูทีวีหรือเล่นวีดีโอเกมมากเกินไป เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคสมาธิสั้น

การดำเนินโรค
                ประมาณ 20-30% ของเด็กสมาธิสั้นมีโอกาสหายเมื่อเข้าวัยรุ่น เรียนหนังสือหรือทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ส่วนใหญ่ของเด็กสมาธิสั้นจะยังคงมีความบกพร่องของสมาธิอยู่  ดูเหมือนจะซนน้อยลง  ซึ่งจะเป็นผลต่อการศึกษาต่อการงาน และการเข้าสังคมกับผู้อื่น  สมควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

                การรักษา ประกอบด้วย
  1. การให้ความรู้ในการดำเนินโรคและข้อจำกัดของเด็กแก่พ่อแม่และคุณครู
  2. การรักษาทางยา
  3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว
  4. การช่วยเหลือทางด้านการเรียน

ข้อแนะนำสำหรับครูในการช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้น
  1. จัดให้เด็กนั่งหน้าหรือใกล้ครูให้มากที่สุดในขณะสอน
  2. จัดให้เด็กนั่งให้ไกลจากประตู หน้าต่าง
  3. เขียนการบ้านหรืองานที่เด็กต้องทำในชั้นเรียนให้ชัดเจนบนกระดานดำ
  4. ตรวจสมุดจดงานของเด็กเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กจดงานได้ครบ
  5. อย่าสั่งงานให้เด็กทำ พร้อมกันทีเดียวหลายอย่าง  ให้เด็กทำงานเสร็จทีละอย่าง ก่อนให้คำสั่งต่อไป
  6. คิดรูปแบบวิธีเตือนหรือเรียกให้เด็กกลับมาสนใจบทเรียนโดยไม่ให้เด็กเสียหน้า
  7. เพิ่มงานที่ใช้แรงสำหรับกลุ่มที่อยู่ไม่นิ่ง เช่น เพิ่มเวลาเล่นกีฬา มอบหมายหน้าที่ให้ลบกระดาน ช่วยครูแจกงาน ให้ทำกิจกรรมที่ใช้แรง ให้เป็นนักกีฬาวิ่งเร็ว เป็นต้น
  8. ชมหรือให้รางวัลเมื่อเด็กทำตัวดีหรือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ทันที
  9. หลีกเลี่ยงการตำหนิ ว่ากล่าวรุนแรง หรือทำให้อาย ขายหน้า หรือการลงโทษทางร่างการ(ตี) เมื่อเด็กทำผิด
10.  เมื่อเด็กทำผิดพลาด ควรใช้วิธีการตัดคะแนน งดเวลาพัก ทำเวร หรืออยู่ต่อหลังเลิกเรียน(เพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ)
11.  ให้เวลากับเด็กนานขึ้นกว่าเด็กปกติระหว่างการสอบ

ต่อมทอนซิลอักเสบ

 ต่อมทอนซิลคือเนื้อเยื่อในลำคอ 2 ข้างบริเวณโคนลิ้น ทำหน้าที่ดักจับและกรองเชื้อโรค เพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามไปร่างกายมากขึ้น นอกจากต่อมทอนซิลแล้ว ผนังลำคอด้านหลัง เนื้อเยื่อใต้โคนลิ้น และต่อมอดีนอยด์ (Adenoid) ซึ่งอยู่บริเวณโพรงหลังจมูก  ก็เป็นตัวช่วยกรองเชื้อโรคเช่นกัน

 สาเหตุของต่อมทอนซิลอักเสบ
              ในภาวะที่ร่างกายอ่อนแอ หรือติดเชื้อจากผู้อื่นที่เจ็บป่วย เชื้อโรคในช่องปากจะมีปริมาณมากชึ้น ต่อมทอนซิลจะทำงานมากขึ้นเพื่อกำจัดเชื้อโรคเหล่านี้ ทำให้ทอนซิลมีอาการแดง บวม และโตขึ้น ซึ่งเรียกว่า ต่อมทอนซิลอักเสบ

รู้ได้อย่างไรว่าเกิดภาวะต่อมทอนซิลอักเสบ
              อาการต่อมทอนซิลอักเสบ จะมีลักษณะคล้ายโรคลำคออักเสบทั่วไป คือมีอาการเจ็บคอ ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่นไข้ ไอ เสมหะ หรือมีน้ำมูก โดยอาการเจ็บคอจะเจ็บมากบริเวณด้านข้างของช่องปากทั้งสองข้าง  เมื่ออ้าปากจะพบว่า ทอนซิลมีลักษณะบวมแดงและโตกว่าปกติ ในกรณีที่เป็นเชื้อรุนแรง อาจมีจุดหนองที่ทอนซิล และต่อมน้ำเหลืองข้างลำคอโตด้วย


 การรักษาต่อมทอนซิลอักเสบ
                ถ้าอาการอักเสบไม่มาก เจ็บคอเล็กน้อย  ไม่มีไข้ ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา โดยให้พักผ่อนมากขึ้น ดื่มน้ำ รับประทานอาหารให้เพียงพอ ถ้าร่างกายสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ภายใน2-3 วัน อาการจะดีขึ้น แต่ถ้ามีอาการมาก ควรมาพบแพทย์ หากตรวจพบอาการอักเสบค่อนข้างรุนแรง มักจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาอื่นๆ ซึ่งอาการมักจะดีขึ้นในช่วง 3-7 วัน

อันตรายจากต่อมทอนซิลอักเสบ
                เชื้อที่เป็นสาเหตุของทอนซิลอักเสบบางชนิดเป็นเชื้อที่รุนแรง อาจทำให้เกิดหนองรอบๆทอนซิล ถ้าโรคลุกลาม อาจเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจได้  บางชนิดการอักเสบจะมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต และทำให้ไต หรือหัวใจผิดปกติได้ โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียชนิด สเตรปโตคอคคัส
(Streptococcal Tonsillitis )
               ผู้ป่วยที่มีทอนซิลอักเสบบ่อยๆขนาดของทอนซิลจะโต ซึ่งอาจทำให้ทางเดินหายใจแคบลง เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดตันได้ สังเกตได้จากขณะนอนหลับ ผู้ป่วยมักจะกรนดัง หรือสะดุ้งตื่นบ่อยๆ โดยเฉพาะในเด็ก

 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดต่อมทอนซิลอักเสบ
                  เช่นเดียวกับหลัการดูแลสุขภาพทั่วๆไป และป้องกันการเกิดหวัด โดยควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

 จำเป็นต้องตัดทอนซิลออกหรือไม่
                  ต่อมทอนซิลมีหน้าที่กรองเชื้อโรคไม่ให้ลุกลามเข้าไปในร่างกายดังที่กล่าวแล้ว โดยทั่วไปจะไม่แนะนำให้ตัดทิ้ง แต่หาก ในกรณีทีมีการอักเสบรุนแรง หรืออันตรายจากทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยควรได้รับการตัดต่อมทอนซิลออก ได้แก่

  1. ทอนซิลที่มีขนาดใหญ่ ทำให้เกิดทางเดินหายใจอุดตัน
  2. เคยมีภาวะหนองที่ข้างทอนซิล (Peritonsillar  abscess) ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา
  3. สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็ง

                 นอกจากนี้ในบางภาวะที่ไม่รุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำให้ตัดทอนซิลทิ้ง เช่น มีอาการอักเสบบ่อยมากกว่า 6-7 ครั้งใน 1 ปี, มีกลิ่นปากจากทอนซิลอักเสบเรื้อรัง, ทอนซิลอักเสบชนิดสเตรปโตคอคคัส และทอนซิลที่โตข้างเดียวที่อาจเป็นมะเร็งได้

อายุเท่าไรที่สามารถตัดต่อมทอนซิลได้
                   โดยทั่วไปไม่จำกัดอายุในการผ่าตัดรวมถึงเด็กเล็ก ถ้ามีข้อบ่งชี้ชัดเจน และไม่มีข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น มีปัญหาเลือดหยุดยาก โลหิตจาง ไม่สามารถใช้ยาสลบได้ หรือมีโรคประจำตัวที่รุนแรง

การผ่าตัดทอนซิลมีวิธีการอย่างไร
                    การผ่าตัดทอนซิลต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโสต คอ นาสิก โดยใช้เครื่องมือพิเศษ ตัดทอนซิลออกทางปาก ไม่มีแผลผ่าตัดให้เห็นด้านนอก และมักผ่าตัดโดยการดมยาสลบ
                    การผ่าตัดจะใช้กรรไกร มีด และเครื่องจี้ให้เลือดหยุดไหล ในปัจจุบันมีวิทยาการใหม่ๆที่อาจลดความเจ็บปวดหลังการผ่าตัดลงได้กว่าวิธีการเดิม เช่นใช้คลื่นวิทยุ หรือเลเซอร์ช่วยในการผ่าตัด

อันตรายจากการผ่าตัดทอนซิล
                 การผ่าตัดทอนซิลเป็นการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยสูง ผู้ป่วยอาจมีปัญหาเลือดออกหลังการผ่าตัด ปวดบริเวณแผลทำให้กลืนลำบาก หรืออาจเกิดอาการข้างเคียงจากการดมยาสลบ ดังนั้นจึงต้องสังเกตอาการผู้ป่วยในโรงพยาบาล 1 วันหลังจากการผ่าตัด จนแน่ใจว่าปลอดภัย แพทย์จึงอนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้
                    ผลข้างเคียงอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ไข้ ภาวะขาดน้ำ น้ำหนักลด เสียงเปลี่ยน ส่วนอันตรายถึงแก่ชีวิต จากภาวะแทรกซ้อนอื่นๆมีโอกาสเกิดน้อยมาก

หลังผ่าตัดทอนซิลออก ทำให้เกิดคออักเสบบ่อยขึ้นหรือไม่
                  ถึงแม้ทอนซิลจะถูกตัดออก และตัวกรองเชื้อโรคลดลง แต่เนื้อเยื่อหลังโคนลิ้นและผนังลำคอยังสามารถกรองเชื้อโรคแทนต่อมทอนซิลได้เพียงพอ ดังนั้นหลังการผ่าตัด ถ้าผู้ป่วยดูแลสุขภาพได้ดี ความถี่ของคออักเสบจะเกิดไม่บ่อยขึ้น และมีแนวโน้มที่จะน้อยลง

การดูแลหลังการผ่าตัดทอนซิล
                   ในวันแรกหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารอ่อนและเย็น เช่น น้ำหวาน ไอสครีม โยเกิร์ต เยลลี่ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลบวมและมีเลือดออก ในวันถัดไป จะปรับอาหารให้นุ่ม แข็งขึ้น อุ่นขึ้น ประมาณ 2-5 วัน ขึ้นอยู่กับอาการปวดของผู้ป่วย การรับประทานอาหารปกติและร้อนควรแน่ใจว่าแผลไม่มีปัญหาแล้ว จึงจะเริ่มรับประทานได้ ซึ่งมักใช้เวลา 5-7 วัน
                   หลังออกจากโรงพยาบาล 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าแผลหายดีและไม่มีเลือดออกอีก 

อาการท้องผูกในเด็ก

             หมายถึง การถ่ายอุจจาระที่มีลักษณะแข็ง แห้งหรือเหนียว และมีการถ่ายลำบากร่วมอยู่ด้วย จำนวนครั้งที่ถ่ายมีความสำคัญน้อยกว่าลักษณะอุจจาระ บางคนถ่าย 2 – 3 วันต่อครั้ง ถ้าอุจจาระนิ่ม ถ่ายไม่ลำบากก็ถือว่าเป็นการถ่ายที่ปกติ ถ้าอาการท้องผูกเป็นเรื้อรังอยู่นาน จะทำให้ลำไส้ใหญ่ยืดตัวออก ขยายใหญ่มากขึ้น การบีบตัวของลำไส้จะน้อยลง  พร้อมกับความรู้สึกอยากถ่ายจะน้อยลง  อุจจาระจะแข็งขึ้น เพราะน้ำในอุจจาระถูกดูดซึมกลับไปหมด ทำให้ถ่ายอุจจาระลำบาก ขณะถ่ายความแข็งของอุจจาระจะบาดเยื่อรูทวารหนัก ทำให้เป็นแผล เด็กจะรู้สึกเจ็บ และพยายามกลั้นอุจจาระ ทำให้อาการท้องผูกมีมากขึ้น อุจจาระอาจมีเลือดปนได้ เนื่องจากมีบาดแผลที่ทวารหนัก บางครั้งอุจจาระที่ยังค้างอยู่ถูกแบคทีเรียในลำไส้ย่อยสลายเป็นของเหลวทำให้ถ่ายออกมาทีละน้อยกะปริบกะปรอยโดยไม่รู้ตัว


กลไกการขับถ่าย
             เมื่ออุจจาระลงมายังลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย จะมีการกระตุ้นระบบประสาท ทำให้มีความรู้สึกอยากจะถ่ายอุจจาระ แต่ถ้าอยู่ในที่ที่ไม่สะดวก หูรูดทวารหนักจะเกร็งตัวปิดกั้นไว้ ความรู้สึกอยากจะถ่ายอุจจาระก็จะหายไป  เมื่อสภาพพร้อมที่จะถ่ายอุจจาระ หูรูดทวารหนักจะคลายตัวลง ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวขับอุจจาระออก พร้อมกันนี้กล้ามเนื้อหน้าท้องหดเกร็งช่วยในการขับถ่ายอุจจาระ



สาเหตุของอาการท้องผูก
  • ความผิดปกติทางกายภาพ  โดยแบ่งเป็น 
             -  ความผิดปกติบริเวณทวารหนัก เช่น รูทวารหนักตีบ แผลที่ปากทวารหนัก
             -  ความผิดปกติของประสาทที่ควบคุมการขับถ่ายอุจจาระ เช่น การที่มีประสาทไปเลี้ยงลำไส้ใหญ่ส่วนปลายน้อยลง หรือไม่มี
             -  ความผิดปกติของประสาทไขสันหลังส่วนปลาย ซึ่งควบคุมการถ่ายอุจจาระ หรือความผิดปกติของประสาท หรือกล้ามเนื้อของลำไส้ ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยลง มีอาการคล้ายลำไส้อุดตัน
  • ได้รับยาบางชนิด  ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้  ยาระงับประสาท และยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น
  • โรคทางเมตาบอลิค  เช่น โรคต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ  หรือโรคที่ทำให้มีระดับแคลเซี่ยมสูงในเลือด เป็นต้น
  • ท้องผูกโดยไม่มีความผิดปกติทางกายภาพ  มักจะมีประวัติท้องผูกในครอบครัวร่วมด้วย นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่ไม่มีกากและเส้นใย หรือได้รับน้ำน้อยและได้อาหารโปรตีนและแคลเซี่ยมมากไป การขับถ่ายไม่เป็นเวลา หรือกลั้นอุจจาระบ่อยๆ อุจจาระจะค้างในลำไส้นานทำให้แข็ง ถ่ายลำบาก มีอาการท้องผูกและทำให้เป็นแผลบริเวณก้น
  • ความผิดปกติทางจิตใจ  การฝึกขับถ่ายแก่เด็กไม่ถูกต้อง เช่น ฝึกให้เด็กนั่งกระโถนเร็วเกินไป โดยเด็กยังไม่พร้อม เด็กอาจกลัวการนั่งกระโถน และพยายามกลั้นอุจจาระ การเปลี่ยนแปลงในครอบครัว หรือสิ่งแวดล้อมก็อาจมีผลต่อการขับถ่ายได้ เช่น การมีสมาชิกใหม่ในครอบครัว หรือการเริ่มไปโรงเรียน เป็นต้น 
             เมื่อมีท้องผูกอยู่นาน อุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้จะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้มีการถ่ายรดกางเกง
มีกลิ่นเหม็นเป็นที่น่ารังเกียจของผู้ใกล้ชิดและเพื่อนนักเรียน ทำให้เพิ่มปัญหาทางจิตใจแก่เด็กได้
การรักษา 
             -  ในวัยทารก เด็กที่ดื่มนมมารดาส่วนใหญ่ไม่มีอาการท้องผูก นอกจากมารดารับประทานนมวัว หรือรับประทานอาหารโปรตีนมากไป 
             -  ในเด็กที่ดื่มนมผสมให้นมที่มีส่วนผสมใกล้เคียงกับนมมารดา และดื่มน้ำให้มากขึ้น แนะนำให้น้ำผลไม้ เช่น น้ำลูกพรุน น้ำส้ม เพิ่มอาหารที่มีกากและเส้นใย เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
             -  การช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น การนวดท้อง และยกขาเด็กขึ้นลงจะทำให้การขับถ่ายดีขึ้น
             -  ในเด็กวัยโตนอกจากแนะนำอาหารที่มีกากและเส้นใย  ฝึกนิสัยในการขับถ่ายแล้ว ยังอาจใช้ยาระบายได้เป็นครั้งคราว เพื่อขับอุจจาระที่คั่งค้างออกมา
             -  ในกรณีที่มีอาการท้องผูกเรื้องรัง และมีลำไส้ขยายโตขึ้น หรือมีการถ่ายอุจจาระรดกางเกง หรือถ่ายอุจจาระไม่เป็นที่  ต้องให้การดูแลรักษาเป็นขั้นตอน และรักษาติดต่อเป็นระยะนานโดยแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทาง