วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

Acupuncture for Aches & Pains

โรคปวดกล้ามเนื้อกับการฝังเข็ม

โรคปวดกล้ามเนื้อเป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก ซึ่งนิยามของโรคนี้ คือ กลุ่มอาการปวดจากปมกล้ามเนื้อหดตัวซึ่งเป็นบริเวณที่ขาดเลือดไปเลี้ยงและแสดงอาการปวดออกมาเฉพาะแบบตามแต่กล้ามเนื้อนั้นๆ และทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีอาการชา รวมถึงระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ เช่น เวียนศีรษะ ตาพร่ามัว ตาแดง นํ้าตาไหล
โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2.4 ต่อ 1 เท่า อายุที่พบบ่อยคือ ช่วงวัยทำงานเฉลี่ย 31-50 ปี และพบตามแกนกลางกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ เช่น คอ หลัง สะบัก อย่าคิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาจะทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังและเกิดภาวะซึมเศร้าตามมา ทำให้การรักษายากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้เจ็บกล้ามเนื้อ
  • การบาดเจ็บรุนแรงเฉียบพลัน (Macrotrauma)เช่น อุบัติเหตุศีรษะกระแทก ทำให้กล้ามเนื้อคอ บ่าไหล่หดเกร็ง หันคอไม่สุด รู้สึกมึน และวิงเวียนศีรษะ
  • การบาดเจ็บไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง (Microtrauma) เช่น อยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน (เกร็งยักบ่าไหล่ ห่อไหล่) ยกของผิดท่า
  • ความเครียด (Psychological stress) และความเร่งรีบในการทำงาน
  • โรคเรื้อรังต่างๆ (Chronic illness) เช่น หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท โรคกระดูกสันหลังคด
  • โรคของต่อมไร้ท่อ(Endocrine disorder) เช่น วันหมดประจำเดือน โรคไทรอยด์
  • แร่ธาตุและสารอาหารไม่เพียงพอ (Nutritional inadequate) เช่น วิตามิน กรดโฟลิก
การวินิจฉัย
กดเจ็บเฉพาะที่ (Regional pain) คลำ ได้ก้อนเป็นปมแข็ง (Taut band) และแสดงอาการปวดร้าวไปตามอาการที่ปรากฏ (Reproducible refer pain) จำกัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ก่ออาการนั้น อ่านแล้วรู้สึกคุ้นๆ กันมั้ย
วิธีการรักษา
กำจัดปมกล้ามเนื้อที่หดเกร็งที่เกิดขึ้นได้แก่
  • การยืดกล้ามเนื้อ
  • การนวด
  • การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • การใช้เข็มคลายกล้ามเนื้อ
  • การฉีดยาชาเฉพาะจุดไปที่บริเวณกล้ามเนื้อหดเกร็ง
การฝังเข็มกับโรคปวดกล้ามเนื้อ
มี 2 วิธี คือ การฝังเข็มแบบตะวันออกและแบบตะวันตก
การฝังเข็มแบบตะวันออก
เป็นการฝังเข็มเพื่อปรับสมดุลของร่างกายหยินและหยาง มีการใช้จุดฝังเข็มทั้งจุดใกล้และจุดไกลเพื่อปรับสมดุล และอาจใช้ไฟฟ้ากระตุ้นเพื่อช่วยลดอาการปวด
ข้อดี คือ ใช้รักษาโรคได้ประมาณ 30 กว่าโรคตาม WHO รับรอง
ข้อเสีย คือใช้เข็มปริมาณมากกว่าและต้องฝังแบบต่อเนื่องเพื่อปรับสมดุล ประมาณ 10 ครั้ง
การฝังเข็มแบบตะวันตก
เป็นการฝังเข็มเฉพาะจุดที่เป็นปมกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง ซึ่งเป็นบริเวณที่ขาดเลือดไปเลี้ยง ดังที่ได้กล่าวเบื้องต้น ทำให้เกิดการคลายตัวของปมกล้ามเนื้อและมีการเรียงตัวใหม่ของใยกล้ามเนื้อ รวมทั้งทำให้เลือดกลับมาเลี้ยงบริเวณดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น ทำให้นำพาของเสียที่เกิดขึ้นออกนอกกล้ามเนื้อ และมีการหลั่งโพแทสเซียมจากกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ช่วยระงับปวดได้ดีขึ้น
ข้อดี คือ ได้ผลดีมากในกลุ่มโรคปวดกล้ามเนื้อจากกล้ามเนื้อหดเกร็งเป็นปม (Myofascial pain syndrome) ใช้จำนวนเข็มน้อยกว่า ไม่ต้องใช้ไฟฟ้ากระตุ้น คลายปมกล้ามเนื้อได้ตรงจุดกว่า
ข้อเสีย คือ รักษาได้เฉพาะโรคปวดกล้ามเนื้อจากกล้ามเนื้อหดเกร็งเป็นปมเท่านั้น (Myofascial pain syndrome)
ดังนั้นจึงควรเลือกรักษาให้เหมาะสมทั้งกำลังทรัพย์และกำลังกายนะครับ และควรหาสาเหตุที่คุณปวด เจ็บกล้ามเนื้อให้ทะลุ เพื่อแก้ไขและหาวิธีป้องกันการกลับเป็นซํ้า ลองพิจารณาตัวคุณเองดังนี้
  • ท่านั่งที่ทำงาน นั่งบิดๆ เบี้ยวๆ ผิดลักษณะหรือเปล่า อาจปรับโต๊ะ ปรับเก้าอี้ที่ทำงานให้ ถูกกับสรีระของคุณเองจะดีกว่า
  • คุณเครียดมากไปหรือเปล่า ฝึกหรือหาวิธีผ่อนคลาย และอย่าทำงานหักโหมจนเกินไป
  • การออกกำลังแบบแอโรบิก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเป็นการผ่อนคลาย
  • การออกกำลังกายเฉพาะส่วน จะช่วยเสริมเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้ทนต่องานมากขึ้น เช่น กล้ามเนื้อบริเวณบ่าไหล่ หลังส่วนบน
  • การทำกายภาพบำบัด จะช่วยรักษาต้นเหตุของโรคบางกลุ่ม เช่น การดึงคอ ดึงหลังใน กลุ่มโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทได้ดี

ซุปเห็ด 3 สหายสลายพิษ

ฤดูฝนแบบนี้ เมนูตั้งโต๊ะมักจะมีเจ้าเห็ดหน้าตาแปลกๆ สลับกันขึ้นมาให้เราได้เอร็ดอร่อยกันแทบทุกมื้อกว่าช่วงเวลาอื่นๆ ของปี ชาวจีนและชาวญี่ปุ่น นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นนํ้าแกง นํ้าชา ยาบำรุงร่างกาย และ ยารักษาโรคต่างๆ ทางยุโรปนำไปปรุงเป็นซุป พี่ไทยอย่างเราก็ขอแจม ด้วยการนำมาผสมในแกงต่างๆ รวมถึง ผัด ต้ม จิ้มนํ้าพริก ช่วงกินเจเห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์ เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดนางรมหรือเห็ดออรินจิ เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู เห็ดหลินจือ
การบริโภคเห็ดนั้น ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสสุขภาพที่ช่วยโปรโมทสรรพคุณของเห็ดที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ ชนิด แถมเห็ดบางชนิดรสชาติใกล้เคียงเนื้อสัตว์อีกต่างหาก สามารถนำมาปรุงอาหารให้อร่อยได้หลายวิธี ทั้ง ต้ม ผัด แกง ยำ ย่าง หรือทอด จึงดัดแปลงไปได้หลายสิบเมนูเลยทีเดียว

แต่ถ้านำเห็ดอย่างน้อย 3 ชนิดๆ ใดก็ได้มาปรุงเป็นอาหาร ความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้น เรียกต่อๆ กันมาว่าเป็น “เมนูเห็ดล้างพิษ” จะเป็นเห็ดสด หรือ เห็ดแห้งก็ได้ นำมาปรุงอาหารแล้วกินได้ทั้งเนื้อเห็ด และนํ้าต้มเห็ดแล้วจะได้โปรตีนจากเห็ดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ ประโยชน์ของเห็ดสามอย่างเมื่อนำมารวมกันปรุงอาหาร จะช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างในตับ ช่วยบำรุงตับ ลดอนุมูลอิสระที่จะเกิดเป็นเซลล์มะเร็ง… เขาเล่าขานกันมาว่าอย่างนั้น
ซุปเห็ดล้างพิษนั้น วิธีทำก็แสนจะง่าย พวกรักสุขภาพมือใหม่ไม่ค่อยได้เข้าครัวก็ทำได้ เครื่องปรุงมีแค่ 6 อย่างเท่านั้นเอง คราวนี้ขอเลือก เห็ดยอดนิยมของคนไทย อันได้แก่ เห็ดหูหนูและเห็ดหอมสด กับเห็ดออรินจิ ซึ่งเดิมเป็นเห็ดนางรมพื้นเมืองที่ขึ้นในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ต่อมาเริ่มแพร่หลายเข้าไปในเอเซียตะวันออกและก็ฮิตมากๆ ในบ้านเราแล้วก็ มะเขือเทศท้อ เกลือ พริกไทย
เริ่มจาก หั่นเห็ดหูหนูซอยให้เป็นเส้นยาวๆ ไม่ต้องบางมาก หั่นเห็ดออรินจิเป็นท่อนเล็กๆ ส่วนเห็ดหอมสดเลาะเอาก้านแข็งๆ ออกมะเขือเทศท้อหั่นเป็นเสี้ยวๆ เตรียมเสร็จแล้วพักไว้ ต้มนํ้าให้เดือด ใส่เห็ดทั้ง 3 ลงไป ต้มพอสุก ใส่มะเขือเทศท้อ เกลือ และพริกไทย ลงไปเป็นตัวปรุงรส กะๆ เอาปริมาณและรสชาติตามใจชอบ เคี่ยวต่อไปอีกสักพักให้ความหวานจากมะเขือเทศท้อออกมา เสร็จแล้วปิดไฟ ตักยกเสิร์ฟได้เลย
ซุปเห็ด 3 สหายสลายพิษ ที่ยกมา หน้าตาใสซื่อ แต่รสชาตินั้นขอบอกว่าเกินคาด เห็ดหอมสด เนื้อนุ่มเหนียว และเห็ดหูหนู เนื้อกรุบกรอบ อร่อยคุ้นลิ้นคนไทยอยู่แล้ว ส่วนเห็ดออรินจิที่กำลังมาแรงนั้น เนื้อทั้งขาว ทั้งแน่นและมีรสหวานนิดๆ ว่ากันว่า ถ้าได้รับการปรุงอย่างถูกวิธีจะมีรสเหมือนหอยนางรมจริงๆเลยทีเดียว เราจึงได้ความอร่อยของเห็ด 3 อย่างที่รสชาติต่างกัน ในนํ้าซุปใสหวานนิดๆ เค็มน้อยๆ พร้อมความเผ็ดร้อนอ่อนๆ ของพริกไทย … Veggie ล้วนๆ แบบนี้ ย่อยง่ายและไม่อ้วนแน่ๆ สำหรับคุณๆ ที่ชอบรสจัดจ้าน ก็ทุบพริกขี้หนูสวน แล้วบีบมะนาวใส่ลงไป กลายเป็นต้มยำเห็ด 3 สหายก็ยังได้อยู่ รสอร่อย ทำแสนง่าย และดีต่อสุขภาพขั้นเทพแบบนี้… ไม่ลองไม่ได้แล้ว
ขอขอบคุณร้านทำเสื้อทำสวน 081-843-9628 เดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสลงสถานีช่องนนทรี ออกช่องทางเดิน 1 หน้าปากซอยจะเห็นชื่อร้าน เดินเข้ามาประมาณ 20 เมตร ร้านตั้งอยู่ทางซ้ายมือ
Tips คุณประโยชน์ของเห็ด
เห็ดหอม บำรุงสมอง ลดคอเลสเตอรอล ต้านมะเร็ง รักษาหอบหืด ลดความเครียด ชะลอความชรา เห็ดออรินจิ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ มีโปรตีน และมีคลอเรส
เตอรอลตํ่า เห็ดหูหนู ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง ไม่เกิดอาการหลอดเลือดตีบตัน ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ที่ตึงเครียดให้คลายตัว ทำให้เกิดความกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เพราะเห็ดหูหนูช่วยชะล้างและบำรุง เสริมสร้างโลหิต ช่วยบำรุงสายตา บำรุงตับ บำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง สดใส

วิธีเลือกเห็ด
เห็ดออรินจิ ให้เลือกดอกที่มีสีขาวสะอาด กลิ่นไม่แรง เนื้อแน่นมากๆ ส่วน เห็ดหอม ให้เลือกเห็ดใหม่ ซึ่งสีจะออกเทาเกือบดำ ไม่หมองคลํ้า เลือกที่มีเนื้อดอกหนาหน่อย เห็ดหูหนูที่ดี ดอกจะต้องใหญ่หนา สีเป็นมัน
วิธีเก็บรักษาเห็ดสด
หลังจากที่ซื้อมาแล้วต้องตัดรากและแคะเศษดินออกให้หมด อย่าให้เห็ดถูกนํ้า เพราะจะทำให้เน่าเสียเร็ว เก็บใส่ถุงพลาสติกเจาะรูให้ไอนํ้าระเหยออก แล้วรัดปากถุงให้แน่น เก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา จะอยู่ได้ 1-2 วัน ไม่ควรเก็บไว้นานๆ เพราะจะเน่าและขึ้นรา ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องล้างให้สะอาดโดยเฉพาะตามซอก

Refreshing Yoga for a Better You

เมื่อพูดถึงโยคะ ทุกคุณก็ร้อง ‘อ๋อ’ กันทันที แล้วก็ว่ามันดียังงั้น ดียังงี้ แต่โยคะนี้คืออะไรกันแน่?
โยคะ นับเป็นปรัญชาชั้นสูงแขนงหนึ่งของอินเดีย แต่ปัจจุบันที่เรานำมาปฏิบัติกันนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฝึกเท่านั้น โยคะเป็นคำในภาษาสันสกฤตหมายถึงการรวมให้เป็นหนึ่ง (unite) การฝึกโยคะจะเป็นการรวมกาย จิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งทำให้เรามีสติและอยู่บนพื้นฐานของความจริงของชีวิต
พื้นฐานของโยคะ คือ การบริหารกาย ลมหายใจ และ การผ่อนคลาย (อาสนะ และ ปราณายามะ) คำว่า อาสนะ มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า อาส ซึ่งหมายถึง มีอยู่ อาศัยอยู่ใน นั่ง เงียบๆ อยู่อาศัย พำนัก ตามศัพท์ อาสนะ หมายถึง การนั่งหรือนั่งในท่าใดท่าหนึ่ง ในเรื่องโยคะอาสนะ หมายถึง ท่าและตำแหน่งต่างๆ ในการฝึกโยคะ ส่วนปราณายามะ คือ การฝึกหายใจที่ถูกต้อง
ดังนั้นการฝึกโยคะนั้นต่างจากการออกกำลังกายแบบอื่นๆ เพราะนอกจากจะพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หรือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจแล้ว ยังสามารถฟื้นฟูจิตของกายให้กลับมาสู่สภาวะความเป็นอยู่ที่ดี ผ่อนคลาย และตื่นตัวอยู่เสมออีกด้วยคุณๆ ที่เล่นโยคะประจำคงแอบยิ้มกันใหญ่ เพราะมากันถูกทางแล้ว
สำหรับคุณที่คิดๆอยู่ว่าจะต้องออกกำลังกายกับเค้าบ้างแล้ว อยากเชิญให้มาเล่นโยคะกัน เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่า คนที่เล่นโยคะกันประจำจะมีหุ่นดี ผิวกระชับ หน้าตามีเลือดฝาด ไม่ค่อยเจ็บป่วย แถมแก่ช้าอีกต่างหาก ดูอย่างน้องป๊อป อารียา ป้าจิ๊ อัจฉราพรรณ นั่นไง เพราะการฝึกท่าโยคะ เป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น ท่าของการฝึกโยคะเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อตามแบบของโยคะ และมีการสอดคล้องกับการหายใจเป็นการรวมกายและจิตร่วมกันก่อนจะฝึกโยคะ ก็ต้องมีการเตรียมตัวกันก่อนเสมอเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ เราจะอบอุ่นร่างกาย หรือ วอร์มอัพ ก่อนการฝึกทุกครั้ง เช่น ท่าวอร์มแขน ท่าไหว้พระอาทิตย์เบื้องต้น ท่าวอร์มหลัง และท่าอื่นๆ ควรศึกษาท่าบริหารแต่ละท่าให้เข้าใจดีก่อนฝึก แล้วเริ่มฝึกช้าๆ อย่าเร่งรีบ อย่าฝืน ถ้ารู้สึกเจ็บให้หยุด สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือมีปัญหาด้านกระดูก ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อแนะนำท่าฝึกที่เหมาะสม ถ้าพร้อมแล้วเราไปเริ่มกันเลย จะได้สดชื่นกันถ้วนหน้า
ข้อแนะนำ ผู้ฝึกควรฝึกอาสนะให้สอดคล้องกับลมหายใจ หายใจต่อเนื่อง และผ่อนคลาย เพื่อจะได้รับประโยชน์จากการฝึกอย่างเต็มที่ และไม่เกิดการบาดเจ็บระหว่างการฝึก
ท่าที่ 1 ท่าวอร์ม (ยืด) หลัง และไหล่ก่อนที่จะฝึกอาสนะ
ประโยชน์ นอกจากเป็นการวอร์มอัพหลัง และไหล่แล้ว ยังช่วยลดกระชับใต้ท้องแขน และหน้าอกอีกด้วย
วิธีปฏิบัติ
1. ยืนหันหน้าเข้าผนัง หรือเสา กางขาเลยความกว้างของสะโพก ขาตรง
2. วางมือลงบนผนัง หรือเสา ความสูงประมาณระดับใบหน้า ความกว้างของมือประมาณหัวไหล่ แขนตรง
3. หายใจออก กระดก และดันสะโพกไปทางด้านหลัง กดช่วงท้องลง และดันหน้าอกไปทางด้านหน้า แขนและขาตรงทิ้งนํ้าหนักไปที่ลำตัว ผู้ฝึกจะรู้สึกตึงที่หัวไหล่ หลัง และขา ค้างท่าอย่างน้อย 6 ลมหายใจ อย่างน้อย 2เซต

ท่าที่ 2 Marjari-asana (Cat Posture and Cow Posture)
ประโยชน์ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นตั้งแต่คอ หัวไหล่ และหลัง ลดการปวดประจำเดือน เรียกว่ายืดเส้นยืดสายได้เต็มที่เลย และยังช่วยนวดระบบย่อยอาหารได้ดีด้วย
วิธีปฏิบัติ
1. เริ่มจากท่า Shashankasana (Child Posture) แล้วยกลำตัวขึ้นมา กางขาออกให้หัวเข่าตรงกับสะโพก
2. หายใจเข้า เงยหน้ามองขึ้นด้านบนกระดกสะโพกไปด้านหลัง กดท้องลง และดันหน้าอกไปด้านหน้าในท่า Cat Posture
3. หายใจออก ก้มหน้าดึงคางติดหน้าอก โก่งหลัง แขม่วพุง ดึงสะโพกเข้า Cow Posture
การหายใจ หายใจเข้าลึก บรรจุอากาศให้เต็มปอด แล้วกลั้นลมหายใจ 3-5 วินาที หายใจออก ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ แล้วกลั้นลมหายใจ 3-5 วินาที จำนวนครั้งในการฝึก ทำ 5-10 ครั้ง
ท่าที่ 3 Sarpasana (ท่างู)
ประโยชน์ ท่านี้จะช่วยให้หลังแข็งแรง ช่วยยืดกล้ามเนื้อหัวไหล่ และช่วยปรับบุคลิกภาพสำหรับผู้ที่มีปัญหาไหล่โค้ง ที่สำคัญช่วยให้คุณหายใจได้ลึก และใช้ปอดได้เต็มที่ด้วย
วิธีปฏิบัติ
1. นอนคว่ำหน้า หน้าผากติดพื้น ขาตรง เท้าชิดติดกัน ยืดแขนมาด้านหลัง ประสานนิ้วมือ วางมือที่สะโพก ตามรูป
2. หายใจเข้า ขมิบสะโพก ใช้กล้ามเนื้อหลังช่วงล่างยกหน้าอกขึ้นช้าๆ แขนเหยียดตรงไปด้านหลัง และยกแขนสูง คล้ายกับมีคนมาดึงแขนเราจากด้านหลัง
3. เปิดหน้าอก ดึงสะบักเข้าหากัน ยกคางขึ้นเล็กน้อย ผ่อนคลายใบหน้าหน้าผาก และลำคอ
4. หายใจออก ค่อยๆวางตัวลง ผ่อนคลาย มือวางที่พื้นข้างลำตัว จำนวนครั้งในการฝึก 3-4 ครั้ง และค้างท่าประมาณ 6-8 ลมหายใจ ต่อ 1ครั้ง
ข้อควรระวัง ท่างูไม่เหมาะสำหรับผู้ฝึกที่เป็นโรคหัวใจ และความดันสูงมาก
ท่าที่ 4 Bhujangasana (ท่างูเห่า)
ประโยชน์ ท่างูเห่าจะช่วยละลายความเครียดและเหนื่อยล้าได้ดี แล้วยังช่วยนวดหลัง ทำให้หลังยืดหยุ่น
และแข็งแรงมากขึ้น บรรเทาการปวดหลังและยังช่วยนวดอวัยวะในช่องท้องและอุ้งเชิงกรานโดยเฉพาะ ตับอ่อน ไต รังไข่ และมดลูก เหมาะสำหรับผู้ที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ ที่สำคัญช่วยให้บั้นท้ายคุณเฟร์ิมด้วยนะ
วิธีปฏิบัติ
1. นอนควํ่าหน้า หน้าผากติดพื้น ขาตรง เท้าชิดติดกัน วางมือข้างหน้าอก ปลายนิ้วมือเสมอระดับไหล่ ศอกทั้งสองข้างตั้งฉากกับลำตัว ตามรูป
2. หายใจเข้า เงยหน้า ขมิบสะโพก ใช้กล้ามเนื้อหลังช่วงล่างยกหน้าอกขึ้นช้าๆ จนสะดือเลยพื้นเล็กน้อย ตามรูป
3. ผ่อนคลายใบหน้า หน้าผาก และลำคอ ข้อศอกงอ และดึงข้อศอกแนบลำตัว ตามรูป
สำหรับผู้ฝึกใหม่ และ/หรือ ผู้ที่ปวดหลังมากๆ ให้เริ่มฝึกท่านี้เพื่อเตรียมร่างกายก่อน ตามรูป
4. หายใจออกค่อยๆ วางตัวลงสู่ท่าเริ่มต้นจำนวนครั้ง ในการฝึก 3-4 ครั้ง และค้างท่าประมาณ 6-8 ลมหายใจ ต่อ 1 ครั้ง
ข้อควรระวัง ท่างูเห่าไม่เหมาะสำหรับผู้ฝึกที่กำลังตั้งครรภ์ หรือเป็นโรคหัวใจและความดันสูงมาก
ท่าที่ 5 Ardha Shalabhasana (ท่าตั๊กแตนขาเดียว)
ประโยชน์ ท่านี้คนปวดหลังต้องทำ เพราะแก้อาการปวดหลังบางชนิดได้ ทั้งยังช่วยจัดกล้ามเนื้อสันหลัง ช่วยให้ปอด กะบังลม และหัวใจแข็งแรงขึ้น กระชับ และลดไขมันบริเวณสะโพกและต้นขา
วิธีปฏิบัติ
1. นอนคว่ำหน้า คางติดพื้น ขาตรง เท้าชิดติดกัน สอดมือใต้ต้นขา คว่ำฝ่ามือลง ตามรูป
2. หายใจเข้า ขมิบสะโพก ใช้กล้ามเนื้อหลังยกขาซ้ายให้ต้นขาลอยจากพื้น อุ้งเชิงกรานติดพื้นไม่บิดสะโพก
3. หายใจออกค่อยๆ วางขาซ้ายลงสู่ท่าเริ่มต้น
4. หายใจเข้า ขมิบสะโพก ใช้กล้ามเนื้อหลังยกขาขวาให้ต้นขาลอยจากพื้น อุ้งเชิงกรานติดพื้นไม่บิดสะโพก
5. หายใจออกค่อยๆ วางขาขวาลงสู่ท่าเริ่มต้นจำนวนครั้งในการฝึก 3-4 ครั้ง และค้างท่าข้างละประมาณ 6-8 ลมหายใจ ต่อ1 ครั้ง
ท่าที่ 6 Shalabhasana (ท่าตั๊กแตน)
ประโยชน์ ใครปวดหลัง โดยเฉพาะช่วงบั้นเอวล่ะก็ ท่าตั๊กแตนนี่เลยช่วยให้หลังส่วนล่างแข็งแรงขึ้น แก้อาการปวดหลัง เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกกดทับเส้นประสาท และหมอนรองกระดูกเคลื่อนแบบเบา ช่วยให้อวัยวะในอุ้งเชิงกราน และในช่องท้องแข็งแรง กระชับ และลดไขมันบริเวณสะโพก และต้นขา
วิธีปฏิบัติ
1. นอนควํ่าหน้า คางติดพื้น ขาตรง เท้าชิดติดกัน สอดมือใต้ต้นขา ควํ่าฝ่ามือลง ตามรูป
2. หายใจเข้า ขมิบสะโพก ใช้กล้ามเนื้อหลังยกขาให้ต้นขาลอยจากพื้น อุ้งเชิงกรานติดพื้นตามรูป
3. หายใจออกค่อยๆ วางขาลงสู่ท่าเริ่มต้น ตามรูป จำนวนครั้งในการฝึก 2-3 ครั้ง และค้างท่าประมาณ 6-8 ลมหายใจ ต่อ 1 ครั้ง
ข้อควรระวัง ท่าตั๊กแตนไม่เหมาะสำหรับผู้ฝึกที่เป็นโรคหัวใจ และความดันสูงมาก
ท่าที่ 7 Makarasana (ท่าจระเข้)
ประโยชน์ ท่าจระเข้นี้ เป็นท่าที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายทั้งกายและใจได้อย่าง เพอร์เฟคเลยทีเดียว และยังเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกกดทับเส้นประสาท และหมอนรองกระดูกเคลื่อน และปวดหลังส่วน
ล่าง ช่วยจัดเรียงกระดูกสันหลัง ผู้ป่วยโรคหอบหืด และโรคเกี่ยวกับปอด
วิธีปฏิบัติ
1. นอนควํ่า กางขาพอสบาย ยกหน้าอกขึ้น ตั้งข้อศอกเท้าคางตามรูป ตำแหน่งของข้อศอกสามารถปรับได้ โดยให้วางในตำแหน่งที่ผู้ฝึกรู้สึกสบายหลังมากที่สุด จำนวนครั้งในการฝึก ฝึกบ่อย และค้างท่าในระยะเวลานานได้ตามต้องการ

การดูแลเส้นผม



เรื่องผมเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หน้าตาหลายคนเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพียงแค่เปลี่ยนทรงผมใหม่ หลายคนมีบุคลิกที่ดูน่าภูมิฐาน ด้วยทรงผม และเส้นผมที่ดูดี
แต่ถ้าหากมีปัญหากับเส้นผมแล้ว บุคลิกภาพที่ดูดีก็จะเปลี่ยนไปเหมือนกัน
ทำให้ทุกคนใส่ใจกับการดูแลเส้นผมของตัวเอง ข้อมูลจากสหรัฐอเมริก พบว่ามีการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการเกี่ยวกับเส้นผมปีหนึ่ง รวมแล้ว 50000 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
นอกจากเรื่องของความสวยความงามแล้ว เส้นผม ยังมีหน้าที่ป้องกันหนังศีรษะจากแสงแดด จากฝุ่น และจากแมลง นอกจากนี้ยังสามารถบอกถึงสุขภาพของเจ้าของผมด้วย เช่นโรคบางชนิด ภาวะโลหิตจาง การขาดสารอาหาร หรือความผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิด

โครงสร้างของเส้นผม



ผมงอกขึ้นมาจากรูขุมขนที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง ที่ฐานของเส้นผมจะมีเส้นเลือดมาเลี้ยงเซลล์ซึ่งส่วนนี้มีชีวิต ในขณะที่เส้นผมที่งอกออกมาไม่มีชิวต และสร้างจากโปรตีนที่เรียกว่า keratin โดยสามารถแบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นในเรียกว่า medulla ชั้นกลางเรียกว่า cortex และชั้นนอกสุดเรียกว่า cuticle ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันผม นอกจากนี้ยังมีน้ำมันที่เคลือบอยู่ด้านนอกที่ทำให้ผมเงางาม ที่รอบ ๆ โคนผมในผิวหนังจะมีกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ทำให้เกิดอาการขนลุกได้ โดยกล้ามเนื้อเหล่านี้เมื่อหดตัวจะบีบน้ำมันที่ต่อมออกมาหล่อลื่นเส้นลม เรียกว่า sebum ซึ่งจะมีวิตามิน E ประกอบอยู่ในส่วนนี้ แต่ละคนมีรูขุมขนที่ศีรษะอยู่เฉลี่ยแล้วจะมีประมาณ 150,000 และในหนึ่งปีผมจะยาวขึ้นโดยเฉลี่ย 6 นิ้วต่อปี โดยในช่วงวัยรุ่นผมจะยาวได้เร็วกว่า

ผมร่วง หัวล้าน
โดยธรรมชาติของการสร้างเส้นผม จะแบ่งเป็นสองระยะ คือระยะพัก และระยะที่มีการสร้างเส้นผม

ส่วนหนึ่งของเรื่องนี้มาจากเรื่องพันธุกรรม และเรื่องเพศ ผู้ชายมากกว่า 80% จะสามารถพบหัวล้านแบบใดแบบหนึ่งได้ ผู้หญิงประมาณ 40% ภายหลังหมดประจำเดือนแล้วจะมีผลน้อยลง

ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมร่วงคือฮอร์โมนเพศชาย androgen
อีกส่วนหนึ่งคือ DHT ซึ่งเป็นสารที่มาจากฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ที่มากเกินไป ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้เซลล์ที่โคนผม อยู่ในระยะพัก มากกว่าระยะของการสร้างเส้นผม และทำลายเซลล์ที่โคนผมให้เล็กลงด้วย

หัวล้านที่เกิดจากอายุ อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องอายุ แต่เป็นเรื่องของการขาดสารอาหารเช่น ในผู้หญิง อาจจะเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก โดยอาจจะมีโลหิตจางร่วมด้วย คนที่ได้รับการผ่าตัดอาจจะทำให้ผมร่วงได้ หญิงที่เข้าวัยทอง หรือหญิงหลังคลอดก็เช่นกัน นอกจากนี้อาจจะเกิดจากโรคเช่น SLE, ไทรอยด์ หรือ โรคกลุ่มอาการที่มีถุงน้ำที่รังไข่ PCOS

ดังนั้นถ้ามีผมร่วงมากกว่าปกติ อาจจะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโรคดังกล่าว ภาวะทางโภชนาการ หรือเรื่องเกี่ยวกับฮอร์โมน
ความผิดปกติของผิวหนังศีรษะ ที่มีลักษณะอักเสบมากกว่าปกติ ที่เรียกว่า Seborrheic dermatitis ก็จะทำให้ผมร่วงมากขึ้น

สำหรับเรื่อง ไทรอยด์ในเลือดต่ำกว่าปกติ ควรตรวจคัดกรองด้วยการตรวจระดับฮอร์โมน TSH ตอนอายุ 20 ปี อายุ 35 ปี และพออายุมากกว่า 50 ปีควรตรวจปีละครั้ง

สำหรับเรื่องการดูแลเส้นผม
สิ่งที่สำคัญมากกว่าการบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ คือการป้องกันไม่มีการทำลายของเส้นผม ที่พบบ่อยที่สุด คือเรื่องการสระผม การใช้ยาย้อมผม โดยเฉพาะน้ำยากัดสีผม การเป่าผมด้วยความร้อน
ลองดูหัวข้อต่อไปนี้เพื่อการสุขภาพผมที่ดี
1. practice good hair hygiene  
เราไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำคือการทำลายเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นการเป่าด้วยลมร้อน ๆ กัดสีผม ย้อมผม การเป่าลมร้อน ๆ ทำให้น้ำที่อยู่ภายใต้ชั้นนอก Cuticle กลายเป็นฟองน้ำและทำให้ผมฉีกขาดแตกปลาย ทางที่ดีคือใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมให้แห้งหมาดก่อน หากต้องเป่าลม ควรเลือกใช้ความร้อนที่น้อย ๆ ลองคิดว่าเส้นผมคือเสื้อผ้าไหม ที่ไม่ชอบให้ใช้เตารีดร้อนเกินไป การเลือกใช้แปรงผมที่เรียบหรือมีปลายกลมมนก็จะช่วยรักษาผมได้ และจะช่วยนวดผมและหนังศีรษะโดยไม่ทำลายมันด้วย
2. Examine your shampoo
คนทั่วไปเวลาสระผม ก็จะเปิดฝักบัวให้ผมเปียก เทแชมพู ล้างออก ใช้ครีมนวดผมอีกรอบ ถูสบู่ ล้างตัว เป็นเรื่องปกติของทุก ๆ คน แต่นั่นยังไม่ดีพอสำหรับการดูแลเส้นผม การสระผม ไม่ได้มีวิธีที่ถูกที่สุดวิธีใดวิธีหนึ่ง ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่แต่ละคนทำ ผลิตภัณฑ์จัดแต่งผมของแต่ละคน และลักษณะผมของแต่ละคน

  • ถ้าคุณสระผมทุกวัน จะทำให้แล้วทำให้ผมแห้งเกินไป อาจจะต้องสระผมวันเว้นวัน
  • ถ้าคุณมีหนังศีรษะที่ค่อนข้างมัน อาจจะต้องสระผมทุกวัน หรือ วันละสองครั้ง
  • ถ้าคุณใช้ครีมนวดผมทุกวัน คุณอาจจะสระผมทุกวันเหมือนเดิม แต่เลือกปรับที่ครีมนวดผมก็ได้
  • ถ้าคุณมีรังแค คุณควรจะสระผมทุกวัน การสระผมให้บ่อยขึ้นจะช่วยลดไขมัน sebaceous ที่เป็นต้นเหตุของรังแคได้
  • ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น  Ph balance และค่อนข้างอ่อน แต่ต้องเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ไม่ใช้สังเคราะห์ (Cyanide ถือเป็นของธรรมชาติ)
  • ลองเลือกแชมพู ที่มีส่วนประกอบที่มี Aubrey Organics, Quinessence, So organic, Avalon Organic และ Organic Excellence
3.Stay pure
นอกจากน้ำที่เราดื่มต้องสะอาดแล้ว ควรอาบน้ำที่สะอาดเช่นกัน  อาจจะใช้เครื่องกรองที่มีถ่าน charcoal เพื่อกรองคลอรีนสำหรับใช้อาบน้ำ เพราะคลอรีนจะทำให้ผมแห้ง เพราะ คลอรีน จะเปลี่ยนเป็นสารที่แรงกว่า ที่ชื่อ Trichloromethanes
4.Check your diet
การเลือกรับประทานอาหารที่มี omegs-3  เช่นปลา น้ำมันปลา จะทำให้ผมเงางามมากขึ้น นอกจากปลาแล้วยังสามารถเลือก walnut, flaxseed ปลาซาร์ดีน ไข่ นมไขมันต่ำ และชาเขียว ได้เช่นกัน
การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ จะทำให้มีการผลิตสาร DHT มากขึ้นทำให้มีการทำลาย hair follicle ที่สร้างเส้นผม ซึ่งจะให้มีหัวล้านได้
5.Check Hormone level
ถ้ามีปัญหาเรื่องผมร่วง หรือร่วงเป็นหย่อมๆ อาจจะเป็นอาการของความผิดปกติของฮอร์โมน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจระดับฮอร์โมนในเลือด โดยเฉพาะ ไทรอยด์
6.Slow Balding
ถ้าคุณมีผมร่วงมาก ๆ อาจจำเป็นต้องใช้ยาช่วย เช่น minoxidil หรือ propecia
Minoxidil จะช่วยให้เซลล์สร้างผมอยู่ในระยะสร้าง หรือ anagen มากขึ้น และทำให้ hair follicle ใหญ่ขึ้น ในขณะที่ propecia จะช่วยยับยั้งการเปลี่ยน testosterone ไปเป็น DHT  แต่ยานี้อาจจะมีผลข้างเคียงได้ จึงควรพบแพทย์ก่อนการใช้ยา
7.Add reinforcements

การใช้วิตามินช่วยเสริม โดยที่สำคัญกับเรื่องช่วยลดการเกิดผมร่วง คือ กลุ่มวิตามิน B6, biotin และ Folate จะช่วยลดการร่วงของผม ส่วน pantothenic acid และ niacin จะช่วยเพิ่มการสร้างผม เราสามารถได้วิตามินจากการทานผัก เช่นถั่วต่าง ๆ แครอท กระหล่ำดอก ไข่
อาหารเสริมอื่น ๆ เช่นสารสกัดจาก berries ต่าง ๆ หรือน้ำมันจาก อะโวคาโด แต่การวิจัยยังไม่ชัดเจนนัก บางวิจัยบอกว่า L-lysine จะช่วยให้ผมหนาขึ้น นอกจากนี้พริกไทยได้มีการทดลองในสัตว์ในการช่วยลดการมีผมร่วง
8.Know how to dye

  • ไม่ควรปล่อยให้ยาย้อมผิดอยู่นานเกินความจำเป็นในขณะย้อม
  • ใส่ถุงมือทุกครั้งที่ย้อมผม เพื่อป้องกันการสัมผัสการสารเคมีตรง ๆ
  • อย่าผสมผลิตภัณฑ์ย้อมผมหลาย ๆ ชนิดด้วยตัวเอง
9.DeFrost the flakes
การเกิดรังแคมาจากการอักเสบของหนังศีรษะ ซึ่งสัมพันธ์กับเชื้อราที่เชื่อว่า Malassezia furfur ซึ่งอาศัยอยู่ที่หนังศีรษะ การรกาคือการสระผมบ่อยๆ ด้วยยาสระผมที่มีตัวยาที่ควบคุมการเกิดรังแค ทำให้ลดอาการคันศีรษะ และลดการเกาหนังศีรษะ บางครั้งต้องเลือกซื้อแชมพูที่มีส่วนผสมของยาต้านเชื้อรา เช่น tar , selenium sulfide, zinc pyrithione, ketoconazole แต่ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ถ้าตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ถ้าตั้งครรภ์อยู่อาจทดลองใช้ชาเขียวซึ่งมีสาร polyphenol ใส่ที่หนังศีรษะ อาจจะช่วยได้
เขียนเรื่องแนวนี้ยากเหลือเกินสำหรับหมอหมี เขียนไปคิดไปว่า โกนผมไปเลยสิ้นเรื่อง อิิอิ
จาำก www.facebook/drcarebear

การดูแลรอยคล้ำรอบดวงตา

สาเหตุ

สาเหตุที่ทำให้มีรอยคล้ำและถุงใต้ตา เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ที่สำคัญก็คือ
เมื่อทราบแล้วว่าอะไรที่เป็นปัจจัยที่สามารถหลีกเลี่ยงหรือแ้ก้ไขได้ก็ควรจะแก้ไขปัจจัยนั้น
หลายคนมีปัญหานี้เนื่องจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้
เกิดรอยคล้ำรอบดวงตาได้แก่

- อ่อนเพลีย พักผ่อนนอนไม่พอ  
การนอนกไม่พอหรือว่าเหนื่อยเพลียเกินไป จะทำให้ผิวหนังซีดลง ทำให้สามารถเห็นเส้น
เลือดดำทีอยู่ใต้ผิวหนังได้ชัดขึ้น บางครั้งอาจเห็นเป็นสีคล้ำ ๆ ได้
- ภาวะโภชนาการ
การขาดสารอาหาร หรือได้รับอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด
การที่ผิวรอบ ๆ ดวงตามีสีเปลี่ยนไปได้
- ความเครียดและการสูบบุหรี่
ชีวิตที่เร่งรีบ การต้องใช้เวลา ๆ หลาย ๆ ชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็ทำให้มีอาการนี้
และจะสัมพันธ์กับการที่คุณนอนไม่หลับ หรือนอนไม่พออีกด้วย
- พันธุกรรม
เช่นเดียวกับเรื่องเส้นเลือดขอดที่ขา การที่มีรอบตาดำมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมได้ ถ้ามี
คนในครอบครัวที่เป็นแบบนี้ คุณก็มีโอกาสที่จะเป็นได้เช่นเดียวกัน ผิวหนังรอบดวงตาค่อนข้าง
บาง เมื่อเลือดผ่านไป เส้นเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวหนังจะทำให้เห็นรอยคล้ำขึ้นมา ถ้าผิวคุณยิ่งบาง
ซึ่งเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมา ก็จะทำให้เห็นรอยคล้ำได้ง่ายขึ้น
- การได้รับแสงแดด
แม้กระทั่งในคนที่ผิวสีค่อนข้างเข้ม การได้รับแสงแดด โดยเฉพาะในบ้าน เรา จะทำให้มีเม็ด
สี melanin มากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งที่รอบ ๆ ดวงตาก็เช่นเดียวกัน
- ภูมิแพ้ หอบหืด ผื่นแพ้ผิวหนัง
ภาวะเหล่านี้จะทำให้มีอาการคันรอบ ๆ ดวงตา ทำให้มีรอยคล้ำรอบตา เนื่องมาจากการเกา
การขยี้ตา คนที่เป็นภูมิแพ้มาก ๆ จะเห็นได้ชัด รวมถึงการแพ้อาหารบางประเภทก็ทำให้มีรอย
คล้ำได้
- ยาบางชนิด
จะเป็นกลุ่มยาที่ทำให้มีการขยายตัวของเส้นเลือด เพราะผิวหนังที่ค่อนข้างบางนั้น
เมื่อเส้นเลือดดำขยายตัวจะทำให้เห็นชัดมากขึ้นกว่าบริเวณอื่น
- การตั้งครรภ์และการมีประจำเดือน
ผิวหนังจะซีดลงในช่วงนั้น เนื่องจากการเสียเลือดทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ทำให้เส้นเลือดดำ
ที่อยู่ใต้ผิวหนังเห็นชัดขึ้น
- อายุ
สำหรับคนที่มีแนวโน้มที่จะมีรอยคล้ำรอบดวงตา เมื่ออายุมากขึ้น ก็จะทำให้เห็นได้ชัดเจน
ขึ้นและอาจเป็นแบบถาวร รอยเหี่ยวย่นรอบใต้ตา ก็จะยิ่งทำให้เห็นชัดเจนขึ้น


การดูแลตนเองเพื่อลดและป้องกันรอยคล้ำรอบดวงตา 
- การนอนหลับให้เพียงพอ
เรื่องการนอนหลับให้เพียงพอ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่เฉพาะการดูแลดวงตา
แต่กับสุขภาพก็สำคัญเช่นกัน

- การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
http://a1.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/156791_185729881438761_153027324709017_699641_5103176_n.jpg


ทานอาหารให้ครบทุกมื้อ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ กาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอืน
- การประคบด้วยถุงชา
วิธีนี้ จะเป็นการใช้ถุงชา แช่ในน้ำเย็นที่มีสารสกัดจากแตงกวา แล้วนำมาวางไว้ที่ตา
ประมาณ 15-20 นาที วันละครั้ง จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และลดการบวมรอบ ๆ ดวงตาได้
- การกดรอบ ๆ ดวงตา Acupressure


เป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำง่าย ๆ โดยการหลับตาและใช้นิ้วนางกดไป
บริเวณใต้ดวงตาข้างหนึ่งจากมุมด้านในออกไปจนมุมด้านนอก  โดยกดแต่ละตำแหน่ง
ประมาณ 3 วินาที ประมาณ 10-15 ครั้งแล้วก็ให้ทำกับอีกข้าง
- การใช้ครีมรอบดวงตา
http://a3.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/148286_185728568105559_153027324709017_699637_1291931_n.jpg
การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินทั้งสอง คือ Retinal (Vitamin A) และ Vitamin K จะช่วย
ลดริ้วรอย และลดรอยคล้ำได้ หรือใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ Vitamin C ซึ่งมีสาร antioxidant
ก็ได้ผลดีเช่นกัน
- การประคบเย็นด้วยแตงกวา หรือ มะเขือเทศ

เตรียมแตงกวา หรือมะเขือเทศ ที่ฝานบาง ๆ แช่ตู้เย็นไว้ มาประคบที่ตาประมาณ 10 นาที
จะช่วยลดการบวมและลดรอยคล้ำใต้ตาได้ จากการหดตัวของเส้นเลือด
- การใช้ moisturizer และการใช้ sunscreen เป็นประจำ
ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาเรื่องรอยคล้ำใต้ตาหรือไม่มี การที่ใช้ Moisturizer และ ครีมกันแดด
เป็นประจำเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว


ที่เขียนมา หมอหมีทำได้แค่ นอน กับ กิน
ได้ทาครีมบ้าง แต่ให้ทำบ่อย ก็ขี้เกียจครับ แต่สาว ๆ ทั้งหลายสนใจวิธีไหนเชิญตามสะดวก
แล้วมาบอกผลกันบ้างนะครับ
จาำก www.facebook/drcarebear