วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

หัวหินถิ่นดารา



หลายคนคงบอกว่าปีนี้คงผ่าน หัวหิน ไปก่อน เพราะเพิ่งหนีนํ้าไปอยู่หลายอาทิตย์เมื่อปลายปีที่ผ่านมาผมก็เหมือนกันครับ แต่ที่กลับไปหัวหิน คราวนี้เพื่อไปร่วมงาน Hua Hin International Film Festival 2012 ครับ
ผมไม่เคยไปงาน Film Festival เลย แต่ปีนี้อดไม่ได้ที่จะขอเสนอสักหน่อย แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ จัดได้สวยงามสบายๆ ตามแบบชายทะเลครับ ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน คือถ้าจัดในกรุงเทพฯ คงไม่ ชิล ชิล แบบนี้หรอกครับ บรรยากาศชายทะเลนี่ช่างรื่นรมย์ดีทีเดียว เออ…นะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเลือกหัวหิน สงสัยการท่องเที่ยวอยากโปรโมทหัวหินมากยิ่งขึ้นกระมังครับ แต่ก็ดีนะครับ อาหารการกินก็สุดยอด และหาง่ายด้วย
ผมไม่เคยไปที่ไหน ที่จะมีดารามาเดินกันให้ขวักไขว่ขนาดนี้ เป็นบุญตาจริงๆ ครับ วันที่ผมไปถึงเป็นวันศุกร์ และเข้าที่พัก คือ คอนโดเพื่อนผมที่ชะอำ ผมเลือกพักที่นี่เพราะอยู่ใกล้ร้าน “ป้าสังเวียน” ครับ ถีบจักรยานไปn10 นาทีถึง ผมก็ซัดข้าวผัดปู หมึกทอดกระเทียม และต้มยำทะเล ไปตามระเบียบ ผมเขียนไปนี่ก็นํ้าลายสอไปนะครับ ไม่อธิบายแล้วกันว่าสุดยอดแค่ไหน
เสร็จสรรพ ผมก็ออกเดินทางไปที่โรงแรม Inter Continental Hua Hin ซึ่งเป็น Host ของ Film Festival ในครั้งนี้ ไปถึงก็มีการแถลงข่าวของภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง Always ภาษาไทยใช้ชื่อแบบอลังการว่า “กอด” คือสัญญา “หัวใจ” ฝากมาชั่วนิรันดร์ผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของหนังเกาหลี เลยงงๆ ทีแรก แต่พอฟังคำแถลงของผู้กำกับพร้อมดารานำชายหญิงและอ่านโพยแล้วรู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องรักซึ้งล้นใจ สะเทือน
อารมณ์แน่นอนครับ เพราะเป็นเรื่องของหนุ่มอดีตนักมวยไร้เทียมทานที่ตกอับ แต่ต้องกลับมาคืนสังเวียนเพื่อหาเงินไปรักษาตาของหญิงคนรัก plot เรื่องอาจพอเดาออกว่าจะไปยังไง แต่เพราะดารานำนี่สิครับ ที่จะ
มากระชากใจผู้ชม เพราะ So Ji-Sub (โซจีซบ) เป็นดาราดังจากซีรี่ส์เกาหลียอดฮิตเรื่อง I Am Sorry, I Love You และ Rough Cut ที่สาวๆ กรี๊ดกันไปหลายรอบ และ Hun Hyo Joo (ฮันฮโยจู) ก็เป็นดาราดังจากซีรี่ส์
คุณภาพ Dong-Yi (ทงอี) จอมนางคู่บัลลังค์ที่เพิ่งจะจบไปเมื่อเร็วๆ นี้ยืนยันครับว่า สวย หล่อ ได้ใจทั้งคู่ คิดว่าจะทำได้ดีนะครับ เพราะเขาก็ไปดังที่เทศกาลอื่นๆ มาเรียบร้อยแล้ว
ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้กำกับ Song ll-Gon (ซองอิลกอน) รู้สึกว่าเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ที่น่าสนใจทีเดียวครับ เขาบอกว่าเขาทำมาหมดแล้ว หนัง action, thriller, drama แต่ยังไม่เคยทำหนังรักล้นใจแบบนี้ ซองอิลกอน บอกว่าเขาเขียนเรื่อง กำกับเอง ครบถ้วน ผมเสียดายจริงๆ ที่ไปดูไม่ทัน ต้องรอ DVD ท่านผู้อ่านที่รักท่านใดไปดูแล้ว ช่วย feedback กันบ้าง ซองอิลกอน บอกให้ช่วย comment กันหน่อย เขาจะได้นำไปปรับปรุงเรื่องต่อๆ ไปของเขาครับแถลงข่าวเสร็จก็มาถึง Highlight ของ Festival ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากงาน Red Carpet ผมว่าที่ InterCon ขนาดกำลังดีในการจัดงานนี้ ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก เดิน
ไปแต่ละที่ไม่ไกลมาก วันที่มีงาน Red Carpet ก็ดูคึกคักดี ไม่แน่นไม่หลวมจนเกินไป ดารามากันเยอะไปหมด ผมมึนนึกชื่อไม่ทันแต่ก็เพลินดีครับ ดาราไทยก็แต่งตัวกันมาเต็มที่ไม่แพ้ดาราต่างประเทศเลย แต่สำหรับผมแล้วคนที่โดดเด่นโดนใจผมมากที่สุดต้องเป็น คุณเพ็ญพักตร์ ศิริกุล ครับ เธอสวยไม่สร่างจริงๆ
รูปร่างระหงเป็นนางพญา ดาราสาวๆ สู้ไม่ได้เลยครับ เธอมาโปรโมทหนังเรื่องใหม่ชื่อ ไม่ได้ขอให้มารัก ภาษาอังกฤษว่า It Gets Better ที่เธอร่วมแสดงครับ
ดาราที่ผมไม่นึกว่าจะเจอ คือ Dustin Nguyen ท่านผู้อ่านหลายท่านคงงงๆ สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าเขาเป็นคนเอเชียรุ่นแรกๆ ที่สามารถขึ้นมาผงาดใน Hollywood ได้ โดยเฉพาะในหนังซีรี่ส์ ซึ่งออกอากาศอย่างต่อเนื่อง คือ ปกติคนเอเชีย จะได้เล่นหนังใหญ่เรื่องเดียว แล้วหายไป เพิ่งมีช่วงเกือบ 10 ปี ที่ผ่านมา ที่คนเอเชียสามารถเป็นดาวอย่างเต็มภาคภูมิในน่านฟ้า Hollywood Dustin Nguyen เป็นคนเวียดนามครับ
เขาเล่นซี่รี่ส์ เรื่อง 21 Jump Street และ V.I.P. ในช่วงปลายๆ 80’s หรือ ต้นๆ 90’s ได้ เล่นคู่กับ Johnny Depp เลยทีเดียว เรียกว่าก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน Dustin มีความสามารถด้าน Martial Arts ด้วยครับ จึงเป็นเหตุให้เขาได้บทบู๊ในซีรี่ส์ทั้ง 2 เรื่องนั้น ปัจจุบัน Dustin เป็นผู้กำกับอย่างเต็มตัวแล้ว เขาสร้างหนังอยู่ที่เวียดนาม และมาเมืองไทยปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อมาตัดหนังของเขา ไม่เลวนะครับสำหรับดารา Hollywood คนนี้
คํ่าคืนนั้น จบลงด้วย Korean Night เป็น Theme ของเขาล่ะครับ ไม่มีอะไรมากกินเลี้ยง Outdoor บนสนามหญ้าของโรงแรมสบายๆ อาหารเครื่องดื่ม ขนมพร้อมพรั่ง ไม่มากจนเหลือเบะ แต่บรรยากาศทำ ให้พูดคุยกันสนุกสนาน ผมว่าต้องมีการตกลง close deal ทำงานร่วมกัน สร้างหนังหรืออะไรกันด้วยล่ะครับ เห็นผู้กำกับคนนี้ คุยกับคนโน้นแบบเป็นเรื่องเป็นราว ผมไม่ได้ไปเจ๋ออะไรกับเขาหรอกครับ แค่เดินผ่าน
อันที่จริงทริปหัวหินของผมน่ะ เป็นทริปทำงาน แต่เป็นงานที่รื่มรมย์ แค่ได้เปิบอาหารร้านป้าสังเวียน ผมก็คุ้มแล้วครับ แต่ที่คุ้มมากไปกว่านั้น คือ ผมได้รับเชิญจากคุณนิธิ ที่ Majorcineplex ให้ไปร่วมชม The
Lady รอบปฐมทัศน์ที่ Paragon Cineplex ใครที่ไม่ได้ชม ต้องรอให้ DVD ออกมาก่อน แล้วชมกันให้ได้นะครับ Michelle Yeoh เล่นได้สมบทบาทมากเลยครับ ว่าไปแล้ว Michelle ก็เป็นนักแสดงเอเชียที่ผงาดในแถวหน้าของ Hollywood เลยทีเดียว เมื่อก่อนนี้พวกดาราฮ่องกงได้เปรียบกว่าใคร โซนเราน้อยนักที่จะทำได้เหมือน Dustin กับ Michelle ตอนนี้ก็จะเป็นดาราเกาหลีที่โลดแล่นใน Hollywood มากมาย ผมเสียดายที่ไม่ได้อยู่จนจบ Festival แต่คืนเดียวที่ได้ไปนี่คุ้มมากครับ ยังไงผมก็เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงไม่เมินหัวหินไปซะทีเดียว ถ้าไม่ไป summer นี้ ยังไงๆ ปีนี้ก็ต้องมีไปและเยี่ยมเยียนกันบ้างล่ะครับ ไปง่าย ที่พักดีๆ เยอะ บางท่านมีที่พักส่วนตัวอีกต่างหากเรื่องอาหารไม่ต้องพูดถึง ซีฟู๊ดส์สดๆ อร่อยโลด ไม่ไปได้ไง แล้วพบกับใหม่นะครับ

Hair Adventure


Hair has been a part of a “complete look”, so we should learn more about how to take care of it properly, especially during the summer. In this regard, Aiglê had an interview with Ajarn Chinmanat Tangjaturonrusamee, Dermatology – Hair Disorder Specialist, Samitivej Hospital. Here’s what we’ve learned.
Everybody has about 100,000 – 150,000 strings of hair. Whether it’s curly or straight, or any color, it’s all genetic. A person normally sheds 50-100 hairs per day, but it can be up to 200 if you wash your hair. The hot weather in summer causes hair to become oilier and attract bacteria and yeast to create itchiness. In most cases, this condition is not that serious but there are some people who are affected by this summer heat affliction. In order to understand more about your hair, let’s look at the life cycle of a hair. It is divided into three phases:
1. Anagen - the actively growing phase – protein and keratin are continuously made at the root of the hair which is in the dermis. It takes 1,000 days or 3 years for Hair has been a part of a “complete look”, so we should learn more about how to take care of it properly, especially
during the summer. In this regard, Aiglê had an interview with Ajarn Chinmanat Tangjaturonrusamee, Dermatology – Hair Disorder Specialist, Samitivej Hospital. Here’s what
we’ve learned. hair shaft to be manufactured and pushed upward to its natural length.
2. Catagen - the transitional phase – the hair stops growing, and remains in this phase for only
2-3 weeks before moving into the next phase.
3. Telogen - the resting phase – hair basically just sits on your head for about 3 months. Then, it
falls out only to be replaced by the next budding hair in the Anagen phase which begins to grow from the same hair follicle. Most common hair disorder is Seborrheic Dermatitis whose
cause is unknown. It mainly affects your scalp, causing scaly, itchy, red skin and stubborn dandruff.
Seborrheic dermatitis doesn’t affect your overall health, but it can be uncomfortable and
cause embarrassment when it is visible or appears on your body. It isn’t contagious, and it’s not a  sign of poor personal hygiene either.
Ajarn Chinmanat said that it’s not hard to take care of this condition. All you need to do is rest well, avoid stress and alcohol intake as this increases body heat. You should wash your hair with shampoo that has Ketoconazole, Tar Shampoo, Salicylic acid, or Ciclopirox as ingredients. Ajarn Chinmanat added that ‘iron’ is the nutrient that your hair needs. So, you should eat enough red meat and green vegetables. If your ‘iron’ deposit is low, your hair
will become brittle and fall out easily. If you run into this problem and want to be absolutely sure,

โค้ชอุ๋ย วิรดา นิราพาธพงศ์พร


“สมรรรถภาพของร่างกายเป็นเรื่องสำคัญต่อการเล่นกีฬา รู้ก่อน ป้องกันได้ ไม่ตัองรอให้บาดเจ็บ” คำแนะนำดีๆ จากโค้ช Golf และ Brand Ambassador of Sports & Orthopedic Center (SOC) คุณอุ๋ย วิรดา นิราพาธพงศ์พร
วันนี้ ไอเกิล มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณอุ๋ยอีกครั้ง ในบทบาทและหน้าที่ของโค้ช Golf และ Brand Ambassador ของศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ซึ่งคุณอุ๋ย รู้สึกยินดีมากที่ได้มีส่วนในการช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องราวดีๆ แบบนี้ คุณอุ๋ยเป็นนักกีฬาตัวจริงเสียงจริงที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพอยู่แล้วมีหรือจะยอมพลาด “อุ๋ยว่าการมีศูนย์เวชศาสตร์เพื่อการกีฬาแบบนี้เป็นสิ่งสำคัญและดีมากเลยนะคะ เพราะอุ๋ยเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเลยที่รักการเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าร่างกายของตัวเองมีสมรรถภาพอย่างไร และจะสามารถเล่นกีฬานั้นได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ด้วยความไม่รู้ แต่ใจรักก็เลยเล่นกันไปแล้วก็ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วนะคะ เพราะที่ศูนย์ SOC มีแพทย์ให้คำปรึกษาพร้อมด้วยเครื่องวัดสมรรถภาพหรือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ทันสมัย ทำให้คุณได้รู้ว่า กล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกายที่ยังต้องเพิ่มสมรรถภาพก่อนการเล่นกีฬาบ้าง”
คุณอุ๋ย เคยผ่าตัดไหล่มาแล้วเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา และยังคงตรวจเช็คร่างกายตัวเองอยู่เป็นประจำ ครั้งล่าสุดที่มาพบคุณหมอ คุณหมอแนะนำให้คุณอุ๋ยบริหารกล้ามเนื้อแขนและไหล่ให้แข็งแรงก่อนที่จะไปเริ่มเล่นกอล์ฟอีกครั้งเพราะถ้าหากฝืนเล่นไปรังแต่จะไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มร้อย แต่ถ้าหากทำ ตามคำแนะนำของคุณหมอ หมั่นบริหารกล้ามเนื้อก็จะมีโอกาสกลับไปเล่นได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญคุณหมอแนะนำท่าบริหารที่คุณอุ๋ยสามารถทำเองที่บ้านได้ นักกีฬาเต็มร้อยอย่างคุณอุ๋ยมีเหรอที่
จะไม่ทำตาม คุณอุ๋ยบอกว่า “ตอนนี้อุ๋ยก็บริหารกล้ามเนื้อตามที่คุณหมอแนะนำอีกซักพักก็จะกลับไปตรวจเช็คดูอีกครั้งว่าร่างกายพร้อมแล้วหรือยังค่ะ”
การเปลี่ยนบทบาทจากนักกอล์ฟมืออาชีพ มาเป็น Trainer คุณอุ๋ยบอกว่าสำหรับเธอแล้ว ไม่ได้แตกต่างกันซักเท่าไหร่เลย ยังคงฝึกซ้อมอย่างสมํ่าเสมอเหมือนเดิม เพราะถ้าร่างกายเราไม่พร้อมวงสวิงเราไม่ดีแล้วเราจะไปสอนใครได้ แต่ไม่ต้องถึงขนาดออกรอบทุกวันเหมือนตอนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพเท่านั้นเอง แต่การตีกอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องเล่นกลางแจ้ง และต้องใช้เวลานานในการเล่นนักกีฬาก็ควรจะต้องดูแลความพร้อมของร่างกายในทุกๆ ด้าน เรื่องสมรรถภาพของร่างกายก็อย่างที่บอกไปแล้วข้างต้น แต่เรื่องผิวพรรณก็เป็นสิ่งสำคัญ เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ไม่ว่าช่วงไหนก็ร้อน แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนจริงๆ หรือ
SUMMER ด้วยแล้วล่ะก็ ต้องเรียกว่าแทบจะร้อนจนตับแตก ถ้าต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ ผิวคงต้องไหม้เกรียมกันเป็นแน่แท้ คุณอุ๋ย มีเคล็ดลับการดูแลตัวเองในการเล่นกอล์ฟในช่วงหน้าร้อนมาฝากค่ะ
การเตรียมตัวก่อนการเล่นกอล์ฟ ซึ่งคุณอุ๋ยยํ้าว่าสำคัญมาก ก็คือ การวอร์มนั่นเอง (คุณหมอเองก็ยํ้านักยํ้าหนากับเรื่องการวอร์มร่างกายก่อนเล่นกีฬา) ถ้าคุณอยู่นิ่งๆ เฉยๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็เดินไปหวดวงสวิงสุดสวย ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อหลัง แขนและไหล่เป็นหลัก มันเหมือนกับกล้ามเนื้อถูกกระชากเลยนะคะ จะไม่ให้บาดเจ็บอย่างไรไหว เพราะฉะนั้นอย่าลืม Warm up ก่อนเล่นกีฬาทุกครั้งและสำหรับกีฬาทุกประเภทเลยนะคะ
มาถึงเรื่องผิวพรรณที่ไม่ควรปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด คุณอุ๋ยบอกว่า “ตอนนี้อุ๋ยรู้สึกเสียดาย ที่เมื่อก่อนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องผิวพรรณเลยค่ะ แต่พอตอนนี้รู้เลยว่าถ้าเราดูแลผิวพรรณของเราให้ดีตั้งแต่อายุยังไม่มาก ความเสื่อมของผิวมันก็จะยิ่งช้าลงเมื่อเราอายุมากขึ้น” ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่มีคำว่าสายสำหรับการคิดจะเริ่มต้นนะคะ คุณอุ๋ยแนะนำว่า นักกีฬากอล์ฟควรมีอุปกรณ์ป้องกันแสงแดดกันให้ครบครันซักหน่อยนะคะ ตั้งแต่ครีมกันแดด“สำหรับอุ๋ยเลือกใช้ที่มี SPF 50 ขึ้นไปค่ะ” แว่นกันแดด รวมถึงปลอกแขนก็สำคัญนะคะ “การใช้ปลอกแขนช่วยปกป้องผิวเราจากแสงแดด อันนี้เวิร์ก นะคะ เพราะถ้าหากใส่เสื้อแขนยาวเล่นกอล์ฟ จะทำให้รู้สึกอึดอัด และทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น ทำให้เหนื่อยง่าย แต่ถ้าใส่ปลอกแขนนอกจากจะไม่อึดอัดแล้วยังทำให้ผิวของเราไม่เสีย อีกด้วยค่ะ” คำแนะนำดีๆ จากโค้ชอุ๋ย นักกีฬากอล์ฟตัวจริง เสียงจริงค่ะ
� � � �Vu �r �าเมืองไทยปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อมาตัดหนังของเขา ไม่เลวนะครับสำหรับดารา Hollywood คนนี้

คํ่าคืนนั้น จบลงด้วย Korean Night เป็น Theme ของเขาล่ะครับ ไม่มีอะไรมากกินเลี้ยง Outdoor บนสนามหญ้าของโรงแรมสบายๆ อาหารเครื่องดื่ม ขนมพร้อมพรั่ง ไม่มากจนเหลือเบะ แต่บรรยากาศทำ ให้พูดคุยกันสนุกสนาน ผมว่าต้องมีการตกลง close deal ทำงานร่วมกัน สร้างหนังหรืออะไรกันด้วยล่ะครับ เห็นผู้กำกับคนนี้ คุยกับคนโน้นแบบเป็นเรื่องเป็นราว ผมไม่ได้ไปเจ๋ออะไรกับเขาหรอกครับ แค่เดินผ่าน
อันที่จริงทริปหัวหินของผมน่ะ เป็นทริปทำงาน แต่เป็นงานที่รื่มรมย์ แค่ได้เปิบอาหารร้านป้าสังเวียน ผมก็คุ้มแล้วครับ แต่ที่คุ้มมากไปกว่านั้น คือ ผมได้รับเชิญจากคุณนิธิ ที่ Majorcineplex ให้ไปร่วมชม The
Lady รอบปฐมทัศน์ที่ Paragon Cineplex ใครที่ไม่ได้ชม ต้องรอให้ DVD ออกมาก่อน แล้วชมกันให้ได้นะครับ Michelle Yeoh เล่นได้สมบทบาทมากเลยครับ ว่าไปแล้ว Michelle ก็เป็นนักแสดงเอเชียที่ผงาดในแถวหน้าของ Hollywood เลยทีเดียว เมื่อก่อนนี้พวกดาราฮ่องกงได้เปรียบกว่าใคร โซนเราน้อยนักที่จะทำได้เหมือน Dustin กับ Michelle ตอนนี้ก็จะเป็นดาราเกาหลีที่โลดแล่นใน Hollywood มากมาย ผมเสียดายที่ไม่ได้อยู่จนจบ Festival แต่คืนเดียวที่ได้ไปนี่คุ้มมากครับ ยังไงผมก็เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงไม่เมินหัวหินไปซะทีเดียว ถ้าไม่ไป summer นี้ ยังไงๆ ปีนี้ก็ต้องมีไปและเยี่ยมเยียนกันบ้างล่ะครับ ไปง่าย ที่พักดีๆ เยอะ บางท่านมีที่พักส่วนตัวอีกต่างหากเรื่องอาหารไม่ต้องพูดถึง ซีฟู๊ดส์สดๆ อร่อยโลด ไม่ไปได้ไง แล้วพบกับใหม่นะครับ

เลือด: สายธารแห่งชีวิต





















เลือดเป็นส่วนประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต ในร่างกายมนุษย์จะมีเลือดไหลเวียนอยู่ราว 7-10 % ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 4-6 ลิตรในผู้ใหญ่ ในจำนวนนี้ 40% เป็นส่วนของเม็ดเลือด และอีก 60% เป็นส่วนของของเหลวที่เรียกว่า พลาสมา ในพลาสมาจะประกอบด้วยน้ำ 90% ส่วนอีก 10% คือส่วนของโปรตีน และสารอินทรีย์ชนิดต่างๆ เช่น ฮอร์โมน, สารอาหาร



ร่างกายสร้างเลือดได้อย่างไร?
ไขกระดูกซึ่งมีลักษณะคล้ายฟองน้ำภายในกระดูกเป็นแหล่งผลิต เม็ดเลือดแก่ร่างกาย โดยอาศัยการทำงานร่วมกับอวัยวะอื่นๆ ได้แก่ ตับ ม้าม และต่อมน้ำเหลือง

เม็ดเลือดแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง, เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ดังแสดงในภาพ

















เลือดมีความสำคัญอย่างไร?

            -   พลาสมาช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต, ช่วยขนส่งสารอาหาร, โปรตีน, และ เอนไซม์ต่างๆซึ่งมีบทบาทในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย

            -   หน้าที่ของเม็ดเลือดชนิดต่างๆ มีดังนี้

            1. เม็ดเลือดแดง: มีปริมาตรราว40% ของเลือดทั้งหมด มีอายุเฉลี่ย 120 วัน, ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปสู่เซลล์, กำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และของเสียออกจากเซลล์

            2. เม็ดเลือดขาว: ช่วยต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย, ไวรัส, เชื้อราและปรสิต

            3. เกล็ดเลือด: ช่วยให้เลือดหยุดไหลเวลาที่มีบาดแผลหรือเกิดการฉีกขาดของหลอดเลือด
 

การตรวจเลือดบอกอะไรได้บ้าง?
ในเลือดประกอบไปด้วยเม็ดเลือด และสารเคมีหลายชนิดซึ่งมีบทบาทต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ การตรวจเลือดสามารถใช้ในการคัดกรอง, การวินิจฉัยโรค รวมถึงการติดตามการรักษาในหลายภาวะได้ เป็นที่ทราบกันดีว่า “การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา” ดัง นั้นการตรวจเลือดพื้นฐานในขณะที่ไม่มีอาการผิดปกติจึงมีความสำคัญมากเพราะ ช่วยให้ทราบถึงข้อมูลพื้นฐานในแต่ละบุคคล และยังสามารถใช้อ้างอิงกับผลการตรวจในอนาคตได้ ยิ่งเราตรวจพบความผิดปกติได้เร็วเพียงใด ย่อมมีโอกาสในการรักษาหรือควบคุมได้มากขึ้นเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ในผู้ชาย การตรวจวัดระดับ PSA ในเลือดซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงมะเร็งต่อมลูกหมากจะทำให้สามารถพบมะเร็งต่อมลูกหมากได้ตั้งแต่ในระยะแรกๆ ซึ่งส่งผลต่อการรักษาที่ดีขึ้น
 

ทำไมจึงต้องตรวจเลือดก่อนแต่งงาน? 
จากความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ไม่หยุดยั้ง ทำให้แพทย์ทราบถึงโรคต่างๆซึ่งสามารถถ่ายทอดไปสู่บุตรได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางพันธุกรรม หรือโรคติดเชื้อบางชนิด คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่ต้องการได้บุตรที่แข็งแรง สมบูรณ์ในอนาคต ดังนั้นการตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะสามารถคัดกรองโรคทางพันธุกรรมบางชนิด รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคดังกล่าวได้

โดยทั่วไป การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะประกอบด้วย การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด, กรุ๊ปเลือด, ภูมิคุ้มกันต่อตับอักเสบ และหัดเยอรมัน รวมถึงการตรวจหาเชื้อซิฟิลิส และไวรัสเอชไอวี (เอดส์)

            -   โปรแกรมการตรวจเลือดก่อนแต่งงาน  “Marry me program


บทความโดย:

พ.ญ. ปวีณา อุดมวิบูลย์ชัย (แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม โรคเลือด)

อายุไม่เกี่ยว

“ไปตรวจภายในมายัง เต้านมด้วยนะ ขึ้นเลข 4 แล้วควรตรวจ” เรามักได้ยินพี่ๆ วัยเดียวกันแนะนำกันด้วยความเป็นห่วง แต่ก็สงสัยว่า ทำไมต้องรอขึ้นเลข 4 ด้วย 

เพราะจากที่คุณหมอบอก แม้ว่าโดยเฉลี่ยมะเร็งในสตรี อาทิ 
มะเร็งปากมดลูก มะเร็งโพรงมดลูก มะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม จะพบได้บ่อยในช่วงอายุระหว่าง 40 - 65 ปี แตก็พบ มะเร็งรังไข่ ได้ทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงวัย โดยขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งรังไข่นั้นๆ นอกจากนี้ อุบัติการณ์ของ มะเร็งเต้านม ก็มีแนวโน้มพบในคนที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี เพิ่มขึ้นด้วย 

ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท ควรมาตรวจสุขภาพเป็นประจำ และหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ 

ตั้งครรภ์ได้ ปลอดภัยด้วย

"แต่งแล้วก็ว่าจะมีลูกเลย" ถ้ามีง่ายอย่างที่พูดก็คงดี แต่บางทีกลับไม่ง่ายอย่างนั้น โดยเฉพาะในสังคมเมืองสมัยใหม่ที่คู่สมรสมีบุตรยากมากขึ้นเนื่องจากแต่งงานช้า โรงพยาบาลสมิติเวช จึงจัดตั้งศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากสมิติเวช ขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้บริการและรับปรึกษาปัญหาการมีบุตร ด้วยเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ต่างๆที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานเป็นสากล ทั้ง ทารกหลอดแก้ว (IVF), อิ๊กซี่ (ICSI) , การวินิจฉัยพันธุกรรมของตัวอ่อนก่อนการฝังตัว (Preimplantation Genetic Screening Test: PGS) ฯลฯ

ที่สำคัญ สมิติเวชไม่เพียงคำนึงถึงผลสำเร็จของการตั้งครรภ์เท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณแม่ด้วย  จึงได้พัฒนาเทคโนโลยี IVM (In Vitro Oocyte Maturation) ขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วย เพื่อแก้ปัญหาว่าที่คุณแม่ที่มีปัญหาโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) หลีกเลี่ยงการตอบสนองต่อฮอร์โมนที่มีมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ว่าที่คุณแม่เกิดอาการแทรกซ้อนเป็นอันตรายได้  และสามารถรักษาในรายที่มีปัญหาโรคหลอดเลือดอุดตัน เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันจากการกระตุ้นด้วยฮอร์โมน รวมถึงบริการเพื่อป้องกันและรักษาผู้มีบุตรยากในกรณีต่างๆเหล่านี้

     •    ยืดการเจริญพันธุ์ในคู่สมรสที่ตัดสินใจมีบุตรช้า ด้วยเทคโนโลยี Extended Fertility โดยสุภาพสตรีสามารถนำไข่ที่สุกแล้ว (สมบูรณ์แล้ว) จาก IVM หรือการกระตุ้นด้วยฮอร์โมน มาแช่แข็งเพื่อเก็บไว้ใช้เมื่อพร้อมจะมีบุตรในอนาคต
     •    คัดกรองโครโมโซมผิดปกติของกลุ่มอาการดาวน์ โดยการวินิจฉัยโครโมโซมตัวอ่อน สำหรับมารดาที่มีอายุมาก ก่อนการตั้งครรภ์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย (PGS)
     •    กรณีเชื้ออสุจิมีความผิดปกติ สามารถช่วยเชื้ออสุจิในการปฏิสนธิโดยการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในไข่ เรียกว่าอิ๊กซี่ (ICSI)
     •    กรณีไข่ไม่สามารถปฏิสนธิ  โดยใช้เทคโนโลยีช่วยกระตุ้นไข่เพื่อให้การปฏิสนธิดีขึ้น ทำให้อัตราการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นด้วย
     •    การเลี้ยงตัวอ่อนถึงระยะ Blastocyst ซึ่งเป็นระยะของตัวอ่อนที่โตเต็มที่ก่อนการฝังตัว เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์เร็วขึ้น

จนถึงปัจจุบัน สมิติเวชสามารถให้การรักษาด้วยวิธี IVM แก่ผู้มีบุตรยาก จนประสบความสำเร็จสามารถตั้งครรภ์แล้วทั้งสิ้น 9 ราย ในจำนวนนี้มี 6 รายให้กำเนิดทารกแล้วโดยมีความปลอดภัยทั้งแม่และลูก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า “ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากสมิติเวช” เป็นศูนย์ที่บุกเบิกการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธีการ IVM ได้สำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

คู่สมรสที่แต่งงานกันมานานเกิน 1 ปีขึ้นไป แล้วยังไม่มีวี่แววการมาเยือนของเจ้าตัวน้อย ทั้งที่ไม่ได้คุมกำเนิด ทางการแพทย์ถือว่าอาจกำลังเข้าข่ายเป็นผู้มีบุตรยาก สามารถสอบถามเพิ่มเติมที่ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท โทร. 02-711-8555  และโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โทร.02-378-9129

ถึงเวลาตรวจตราเต้า


สำหรับคุณผู้หญิงที่ปรารถนาอยากมีเต้าที่สวยงาม แต่ละเลยไม่ดูแล วันหนึ่งอาจเสียใจ เมื่อสองเต้าที่หวงแหนแปรเปลี่ยนเป็นมะเร็ง
มาตรวจเต้านมกันเถอะการ ตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นวิธีป้องกันมะเร็งเต้านมได้ทางหนึ่ง ควรสำรวจเต้านมของคุณเป็นประจำเดือนละครั้ง ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือ 7-10 วันหลังจากเริ่มมีประจำเดือน ในสุภาพสตรีที่หมดประจำเดือนแล้วควรเลือกวันใดวันหนึ่ง เช่น วันแรกของเดือน เพื่อความสะดวกและเตือนตนเองในการตรวจเป็นประจำทุกเดือน โดยสามารถตรวจได้หลายวิธีดังนี้

ตรวจหน้ากระจก
     • ยืนตรง มือแนบลำตัว สังเกตเต้านมทั้งสองข้างมีความผิดปกติหรือไม่
     • ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นประสานกันทางด้านหลังของศีรษะ แล้วออกแรงดันศีรษะมาด้านหน้า
     • ยกมือเท้าเอว ออกแรงกดสะโพก พร้อมกับโน้มข้อศอกและหัวไหล่ไปด้านหน้า แล้วกลับสู่ท่าเดิม เพื่อให้เกิดการหดตัวและเกร็งตัวของกล้ามเนื้ออก สังเกตลักษณะที่ผิดปกติ

ตรวจขณะอาบน้ำ     • ยกแขนข้างซ้ายขึ้น  ใช้ปลายนิ้วมือข้างขวา วางราบลงบนเต้านมข้างซ้าย บริเวณส่วนนอกและเหนือสุดของเต้านม
     • เริ่มคลำในลักษณะคลึงเบาๆ เป็นวงกลมเล็กๆ เคลื่อนเป็นวงกลมไปช้าๆ รอบเต้านม แล้วค่อยๆเขยิบเข้ามาเป็นวงแคบสู่บริเวณหัวนม  และคลำบริเวณระหว่างเต้านมกับรักแร้ สังเกตดูว่ามีก้อนเนื้อแข็งเป็นไตหรือไม่
     • บีบหัวนมเบาๆ ดูว่ามีของเหลว เช่น น้ำเหลือง หรือน้ำเลือดออกมาหรือไม่ แล้วทำการตรวจซ้ำด้วยวิธีเดียวกันบนเต้านมข้างขวา

ตรวจในท่านอนราบ
     • นอนราบ ยกแขนข้างซ้ายขึ้นเหนือศีรษะ
     • ใช้หมอนหรือผ้ารองบริเวณใต้ไหล่ซ้าย
     • ใช้วิธีการคลำและตรวจเช่นเดียวกับวิธีการตรวจในขณะอาบน้ำ

หากพบสิ่งผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ หรือเนื้อที่แข็งเป็นไต ควรปรึกษาแพทย์ทันที  
เมื่อไหร่ควรตรวจแมมโมแกรม
ผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้ ควรไปรับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยการทำแมมโมแกรมหรือการเอกซเรย์เต้านมร่วมด้วย
     • อายุมากกว่า 40 ปี
     • อายุมากกว่า 35 ปี และมีอาการของเต้านมที่ผิดปกติ
     • อายุน้อยกว่า 35 ปี แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าปกติ เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือเคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน
     • โสด ไม่เคยมีบุตร
     • มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี หรือหมดช้าหลังอายุ 55 ปี
     • รับประทานฮอร์โมนเพศหญิง หรือยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน

     เนื่องจากการทำแมมโมแกรมจะช่วยให้เห็นความผิดปกติที่เราอาจคลำไม่พบได้ดี กว่า ยิ่งในปัจจุบันมีการถ่ายภาพเอกซเรย์เป็นระบบดิจิตอล หรือ Digital Mammogram ทำให้ได้ผลการตรวจที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น สามารถเพิ่มความละเอียดในการแสดงภาพแม้ในก้อนแคลเซียมหรือเนื้องอกที่มีขนาด เล็กมาก โดยอาจตรวจร่วมกับการทำอัลตราซาวนด์ ที่มีความสามารถในการแยกก้อนเนื้อและถุงน้ำ (ซีสต์) ได้ดี ช่วยให้แพทย์สามารถให้การรักษาและหยุดยั้งการลุกลามของมะเร็งได้อย่างทัน ท่วงที

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

โรคปวดศีรษะไมเกรน

อาการปวดศีรษะไมเกรนพบบ่อยในเด็กวัยเรียน วัยหนุ่มสาว หญิงระยะก่อนมีประจำเดือน แต่พบน้อยในผู้สูงอายุ

ลักษณะ ของการปวดศีรษะไมเกรน ปวดครึ่งซีก ปวดตุ้บๆ ปวดรุนแรง มีคลื่นใส้อาเจียนร่วมด้วย ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดศีรษะมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังหรือเห็นแสงจ้า

สาเหตุของโรคปวดศีรษะไมเกรน
          • สาเหตุจากพันธุกรรม
          • สาเหตุจากภายนอก
          • จากการอดนอน ทำงานหนักเกินไป ความเครียด การดื่มเหล้า กาแฟ ยาคุมกำเนิด อาหารบางชนิด เช่นกล้วยหอม  ช๊อคโกแลต เนยแข็ง เบียร์ และไวน์เป็นต้น

การรักษา
1. การรักษาในขณะปวดศีรษะ
          1.1 ให้ยาแก้ปวดธรรมดา เช่น ยาพาราเซตตามอล
          1.2 ยา แอสไพรินหรือยากลุ่ม NSAIDS ถ้ารับประทานยาพาราเชตตามอลแล้วไม่หาย
          1.3 ยาพวกเออร์กอต หรือยา กลุ่ม TRIPTAN ในกรณีที่ปวดรุนแรง

2. การป้องกันไมเกรน
          2.1 หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
          2.2 การใช้ยาป้องกัน

การบรรเทาอาการปวดไมเกรนด้วยตนเอง
1. ใช้ก้อนน้ำแข็งหรือกระเป๋าน้ำแข็งประคบที่ศีรษะ
2. นอนพักผ่อนให้เพียงพอในห้องที่เงียบสงบ
3. การนวด

ข้อควรระวัง
    ควรรับประทานยากลุ่มเออร์กอตหรือ TRIPTAN ตามที่แพทย์แนะนำเท่านั้น เนื่องจากยาประเภทนี้มีผลแทรกซ้อน หากรับประทานไม่ถูกวิธี และอาจมีปฏิกิริยากับยาตัวอื่น

พญ. สุทธิรา โพธิศรี และพญ. อรุณี ประจัญอธรรม
อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและระบบประสาท
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

โรคหลอดเลือดสมอง ภัยเงียบซ่อนเร้น ที่รู้ก่อนป้องกันได้

คุณมีภาวะเสี่ยงเหล่านี้หรือไม่ !!!
•    โรคเบาหวาน
•    ภาวะความดันโลหิตสูง
•    ภาวะไขมันในเลือดสูง
•    โรคหัวใจ อาทิ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหลอดเลือดหัวใจ
•    สูบบุหรี่

ภาวะเสี่ยงเหล่านี้มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ มาก่อน อาการแขนขาอ่อนแรงหรือชาของร่างกายครึ่งซีก ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด วิงเวียนศีรษะ เดินเซ ปวดศรีษะอย่างรุนแรง นั้นเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองที่พบได้บ่อย อย่ารอจนอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ! มาตรวจหาภาวะเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองก่อนจะสาย เพื่อป้องกันตั้งแต่วันนี้จะดีกว่าไหม …

โปรแกรมคัดกรองภาวัเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองด้วยเครื่องมือพิเศษ การถ่ายภาพสมองและหลอดเลือดในสมองโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRA Brain)

เพื่อตรวจหาความผิดปรกติของหลอดเลือดสมอง เช่น หลอดเลือดสมองอุดตีบหรือ อุดตัน หลอดเลือดสมองโป่งพอง ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วย เทคนิคทันสมัย มีความปลอดภัยสูง และไม่เสี่ยงกับการได้รับรังสี

การตรวจหลอดเลือดแดงที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid Doppler Duplex Ultarsound) เพื่อตรวจดูการไหลเวียนของเลือดที่ขึ้นไปเลี้ยงสมอง การหนาตัสของผนังหลอดเลือดแดง หากมี การหนาตัวมากผิดปกติ หลอดเลือดจะตีบแคบหรือ อุดตัน เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตามมาได้ ซึ่งไม่มีผลข้างเคียง ปลอดภัย ไม่เจ็บปวด มีค่าใช้จ่ายไม่แพง ใช้เวลาในการตรวจ ประมาณ 20 นาที และผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆก่อนตรวจ

การตรวจหาหลอดเลือดสมองส่วนปลาย (ABI-Ankle Brachial Index)
เพื่อตรวจวัดสภาพความยืดหยุ่น หรือสภาพ แข็งตัว ของหลอดเลือดแดงส่วนปลายได้อย่างทีประสิทธิภาพ และใช้เวลาไม่นาน มนการตรวจ หากพบว่า หลอดเลือดแดงส่วนปลาย มีความผิดปกติผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาต่อไป


Stroke Screening Program กรุณานัดหมายได้ที่ แผนก อายุรกรรม รพ สมิติเวชสุขุมวิท
โทร 02-711-8491 เวลา 7.00น-20.00 น


แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านประสาทวิทยา


โปรแกรมตรวจหาภาวะเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke Screening Program)



หมายเหตุ : กรุณางดน้ำ และอาหารหลังจากเที่ยงคืนก่อนเข้ารับการตรวจ Stroke Screening Program (สามารถจิบน้ำได้ งด ชา กาแฟ)





การตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ โปรแกรมตรวจสุขภาพหลอดเลือด สำหรับคัดกรองความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง 



หมายเหตุ: ไม่รวมค่าแพทย์ ค่าโรงพยาบาลฯผู้ป่วยนอก และค่าสารทึบแสง กรณีตรวจเฉพาะเครื่องมือตรวจพิเศษอย่างเดียว





โปรแกรมตรวจหลอดเลือดที่คอ ด้วยอัลตราซาวน์ เพื่อดูภาวะการตีบแคบของหลอดเลือด (Carotid Doppler Duplex Ultrasound)  









โปรแกรมตรวจหลอดเลือดส่วนปลาย (ABI - Ankle Brachial Index)













หมายเหตุ :  ในกรณีคนไข้ตรวจเฉพาะโปรแกรมตรวจสุขภาพหลอดเลือดด้วยเครื่องมือพิเศษอย่าง เดียว รายการตรวจพิเศษดังกล่าวยังไม่รวมค่าแพทย์ และค่าบริการโรงพยาบาลฯผู้ป่วยนอก

* เพื่อความสมบูรณ์ของการคัดกรองภาวะเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ควรตรวจร่วมกับ Stroke Screening Program

* การตรวจเครื่องมือพิเศษขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

* กรุณานัดหมายล่วงหน้า และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แผนกอายุรกรรม Counter 4







โปรแกรมคัดกรองภาวะเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองด้วยเครื่องมือพิเศษ



• การถ่ายภาพสมองและหลอดเลือดในสมองโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  (MRA Brain)

เพื่อตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง เช่น หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน หลอดเลือดสมองโป่งพอง ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วยเทคนิคทันสมัย มีความปลอดภัยสูง และไม่เสี่ยงกับการได้รับรังสี



• การตรวจหลอดเลือดแดงที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid Doppler Duplex Ultrasound)

เพื่อตรวจดูการไหลเวียนของเลือดที่ขึ้นไปเลี้ยงสมอง การหนาตัวของผนังหลอดเลือดแดง หากมีการหนาตัวมากผิดปกติ หลอดเลือดจะตีบแคบหรืออาจอุดตัน เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตามมาได้ ซึ่งไม่มีผลข้างเคียง ปลอดภัย ไม่เจ็บปวด มีค่าใช้จ่ายไม่แพง ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 20 นาที และผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆ ก่อนตรวจ



• การตรวจหาหลอดเลือดสมองส่วนปลาย (ABI – Ankle Brachial Index)

เพื่อตรวจวัดสภาพยืดหยุ่นหรือสภาพแข็งตัวของหลอดเลือดแดงส่วนปลายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และใช้เวลาไม่นานในการตรวจ หากพบว่าหลอดเลือดแดงส่วนปลายมีความผิดปกติผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาต่อไป



หมายเหตุ:

* เพื่อความสมบูรณ์ของการคัดกรองภาวะเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ควรตรวจร่วมกับ Stroke Screening Program

กรุณานัดหมายล่วงหน้า และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แผนกอายุรกรรม Counter 4 โทร.02.-711-8491 เวลา 7.00 – 20.00 น.

โรคกระเพาะอักเสบ

อาการปวดท้อง จุกเสียด ปวดทะลุหลัง  ท้องอืด จุกเสียด เรอ ปวดแสบท้อง ถ่ายดำ เป็นสัญญาณบอกเหตุ ให้ทราบว่ากระเพาะของคุณอาจกำลังประสบปัญหา กระเพาะอาหารของมนุษย์เรามีการสร้างและหลั่งกรดเพื่อย่อยอาหารต่าง  ๆ ตามธรรมชาติ ดังนั้นกระเพาะอาหารจึงมีโครงสร้างพื้นผิวพิเศษที่สามารถทนต่อกรดได้ค่อน ข้างสูง เพื่อสามารถทนต่อการย่อยของสารต่าง ๆ ที่เรารับประทานเข้าไปได้   และเมื่ออาหารผ่านจากหลอดอาหารมาสู่กระเพาะอาหาร  กรดจะถูกหลั่งออกมาจากผิวของกระเพาะอาหารและกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารจะทำการ คลุกเคล้ากรดเหล่านั้นเพื่อย่อยอาหาร ต่อไป สารอาหารแรกที่จะถูกย่อยได้แก่ คาร์โบไฮเดรต  ตามด้วยโปรตีน และไขมันตามลำดับ จากนั้นจึงส่งผ่านไปยังลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ก่อนขับถ่ายเป็นอุจจาระทางทวาร

    
เชื้อโรค  Helicobacter Pylori คืออะไร
Helicobacter Pylori   เป็น   แบคทีเรีย ที่อาศัยอยู่ในเยื่อบุผิวกระเพาะ ซึ่งทำไห้ กระเพาะอักเสบเรื้อรังและเป็นแผล เมื่อมีการดำเนินโรคเป็นเวลานานทำให้เป็นมะเร็งกระเพาะได้เป็น แบคทีเรีย ที่อาศัยอยู่ในเยื่อบุผิวกระเพาะ อาหาร ซึ่งทำไห้ กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังและเป็นแผลเกิดขึ้น  เมื่อมีการดำเนินโรคเป็นเวลานานทำให้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้

     
ทราบได้อย่างไรว่าติดเชื้อโรค  Helicobacter Pylori
ปัจจุบันมีการตรวจหลายวิธีที่ทำให้ทราบว่ามีการติดเชื้อ   Helicobacter Pylori   ได้แก่ การตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ผ่านทางการตรวจด้วยวิธีส่องกล้องกระเพาะอาหาร    การตรวจจากอุจจาระ    การใช้  carbon 14 เก็บผ่านทางลมหายใจ   และตรวจจาก เลือด

ภาวะข้อไหล่ติดแข็ง ปัญหากวนใจจากการเล่นกีฬา

ปัญหาโรคข้อไหล่” สามารถพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย ทั้งเกิดจากอุบัติเหตุ และไม่สัมพันธ์กับอุบัติเหตุ หนึ่งในนั้นคือ ภาวะการเคลื่อนไหวข้อไหล่ลำบาก หรือข้อไหล่ติด ซึ่งทำให้ ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ข้อไหล่ได้เต็มความสามารถและมีการใช้ งานข้อไหล่ลดลง โดยอาจไม่สามารถยกไหล่หรือกางแขน ออกได้สุด ทำให้นักกีฬาแสดงความสามารถทางกีฬา (Sports – Performance) ได้ไม่เต็มที่

โรคดังกล่าวสามารถเกิดได้จากการบาดเจ็บอักเสบทั่วๆไป อาจเกี่ยวพันกับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องบางอย่าง เช่น โรคข้อรูห์มาตอย (Rheumatoid arthritis) โรคข้อเอสแอลอี หรือโรคข้อพุ่มพวง (SLE arthritis) และ โรคเบาหวาน เป็นต้น หรือการบาดเจ็บต่างๆโดยเฉพาะจากการเล่นกีฬา มักพบบ่อยในการใช้กล้ามเนื้อช่วงไหล่ และแขน เช่น เทนนิส กอล์ฟ ฯลฯ

อาการแสดง
      ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยการยกไหล่ไม่ขึ้น เคลื่อนไหวข้อลำบาก เช่น มีปัญหาในการใส่เสื้อ, เอื้อมหยิบของในที่สูงหรือด้านข้าง ด้านหลังไม่ได้ เล่นกีฬาลำบาก เช่น วอล์เลย์บอล, บาสเกตบอล, ว่ายน้ำ, ยิมนาสติก และโยคะ ฯลฯ อาจร่วมกับการมีอาการปวดขณะทำกิจกรรมดังกล่าวร่วมด้วย หรือปวดตอนกลางคืนขณะพลิกตัว เป็นต้น

ระยะของโรค แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
1.    ระยะปวด ปวดไหล่ทั้งกลางวัน กลางคืน เกิดได้เองโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น หรือแม้ไม่ได้ขยับข้อไหล่ ไม่สามารถนอนทับไหล่ข้างดังกล่าวได้ ทำให้การนอนหลับไม่สมบูรณ์ต้องตื่นกลางดึก ในระยะนี้ผู้ป่วยมักจะหนีบแขนและใช้ไหล่ข้างดังกล่าวน้อยที่สุด เพื่อลดอาการปวดตึงในเยื่อหุ้มข้อไหล่ ระยะนี้จะใช้เวลา 2 – 9 เดือน

2. ระยะติดแข็ง (ภาวะยกไหล่ไม่ขึ้น) อาการปวดเริ่มลดลง มักปวดเฉพาะเวลากลางคืน แต่ไหล่จะติดและเคลื่อนไหวลำบาก องศาในการเคลื่อนไหวไหล่ลดลงมาก และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนติดแข็งในทุกท่า การทำกิจกรรมข้อไหล่ เช่นการเกาศรีษะ สระผม เกาหลัง ใส่เสื้อ จะทำไม่ได้ ระยะนี้จะใช้เวลา 3-12 เดือน

3. ระยะบรรเทา ระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่ค่อยมีอาการ แต่ภาวะไหล่ติดแข็งจะทรงตัว โดยถ้าติดมากเท่าไรในระยะที่ 2 ระยะที่ 3 จะเท่าเดิม กับระยะเวลาประมาณ 12-24 เดือน

การรักษา
      ขึ้นกับชนิดของข้อไหล่ติด เช่นผู้ป่วยเบาหวาน หรือไทรอยด์ ก็ต้องคุมอาการในโรคนั้นๆด้วยยาให้ดีจนปกติ หรือถ้ากระดูกหัก ก็ต้องผ่าตัด ดามกระดูกในเข้าที่เสียก่อนเป็นต้น, การให้ยาต้านการอักเสบ, การบริหารหรือกายภาพบำบัดหัวไหล่ หากการรักษาดังกล่าวไม่ดีขึ้น ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง (Arthoscopic Shoulder Surgery) มีบทบาทอย่างมาก และแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ โดยมีข้อดี ช่วยให้แผลเล็กเจ็บน้อย เสียเลือดน้อย เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยหลังการผ่าตัด ฟื้นตัวเร็วขึ้นโดยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติดังเดิม โดยวิธีดังกล่าวสามารถรักษาได้ทุกสาเหตุแห่งภาวะข้อไหล่ติด สามารถที่จะช่วยเหลือให้ผู้ป่วยลดความทุกข์ทรมานจากอาการข้อไหล่ติด และกลับมาใช้งานข้อไหล่ได้ดี ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติ และดีขึ้น

ท้ายนี้เมื่อทราบดังนี้แล้ว อย่ารีรอถ้าเริ่มมีอาการปวดไหล่ ถึงแม้จะเล็กน้อย เพราะอาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญหา (Begining of The End) ที่คุณก็คาดไม่ถึง

“ผมอยากเห็นทุกคนได้สนุกกับทุกจังหวะของการเล่นกีฬา”
นายแพทย์วีรยุทธ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Sports Medicine และ Arthroscopic Surgery ซึ่งมีความถนัดและสนใจในวิทยาการทางการแพทย์ด้าน Sports Medicine เป็นอย่างมาก จึงมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการดูแลรักษาทุกการบาดเจ็บของนักกีฬา

•    แพทยศาสตร์บัณฑิต วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ.2533
•    วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ พ.ศ. 2540
•    Certificate of Arthroscope training (Knee),  Malmo University Hospital, Sweden, 2002
•    Certificate of Arthroscope training (Shoulder),  KyungHee University Hospital, South Korea, 2008

นายแพทย์วีรยุทธ  ชยาภินันท์

ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Sports Medicine & Arthroscopic
Sports Orthopedic Center by Samitivej
โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

การนอนกรน

เบาหวานที่จอประสาทตา

40 สัปดาห์ ของคุณแม่ตั้งครรภ์







Week 1 - ผ่านพ้นช่วงของการมีรอบเดือนมาหมาดๆ ระหว่างทางก่อนที่รอบเดือนใหม่ของคุณจะมาเยือนอีกครั้ง จะเป็นช่วงที่ไข่กำลังสุกพร้อมที่จะหลุดออกจากรังไข่และเข้าไปในท่อนำไข่ ก่อนการตั้งครรภ์ ควรจูงมือคู่ชีวิตไปตรวจร่างกายเพื่อเช็คดูว่า มีใครเป็นโรคที่สามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์ได้บ้าง การตรวจพบ และรับการรักษาล่วงหน้าไม่เพียงแต่จะป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวคุณเองในระหว่างการตั้งครรภ์แล้ว ยังป้องกันโรคหรือความพิการต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกได้อีกด้วย


Week 2
- ช่วงต่อระหว่างสัปดาห์ที่ 1 และ 2 ไข่ที่สุกจะหลุดออกจากรังไข่ และเข้าไปคอยท่ารอเวลารับการปฏิสนธิจากอสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุด คุณมีเวลาที่จะสร้างโอกาสให้เกิดการปฏิสนธิได้ในช่วง 72 ชั่วโมงก่อนไข่ตกจนถึง 24 ชั่วโมงหลังไข่ตกเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากอสุจิจะมีชีวิตอยู่รอดภายในท่อนำไข่ประมาณ 72 ชั่วโมง และไข่จะมีชีวิตอยู่รอดภายใน 24 ชั่วโมง ภายหลังหลุดออกออกมาจากรังไข่ จากนั้นก็จะฝ่อไปในช่วงที่มีการตกไข่เกิดขึ้น ภายในร่างกายจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าปกติ 0.5-1.6 องศาเซลเซียส


Week 3
- ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วจะใช้เวลาเดินทางไปยังโพรงมดลูก 36 ชั่วโมง ในระหว่างนี้ ไข่จะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนมีขนาดกว่าร้อยเซลล์เมื่อเดินทางไปถึงยังมดลูก ในจำนวนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่อยู่ด้านในจะพัฒนาไปเป็นตัวเด็กส่วนที่อยู่ติดกับผนังมดลูกจะพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นรก ซึ่งจะหลั่งฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (hCG) ออกมา ฮอร์โมนตัวนี้เองที่มีผลทำให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง รวมถึงอาการเหงือกบวม มีเลือดออกได้ง่าย จึงควรไปเช็คสุขภาพปากและฟันเสียแต่เนิ่น


Week 4
- ขณะที่ไข่กำลังฝังตัวลงในผนังมดลูก คุณแม่บางรายอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อย และอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรอบเดือน เพื่อความมั่นใจสามารถไปหาซื้อแผ่นทดสอบได้ โดยจะต้องใช้ปัสสาวะตอนเช้า ขณะที่ยังท้องว่างอยู่ เพราะอาหารบางชนิดอาจมีผลให้ฮอร์โมนการตั้งครรภ์เปลี่ยนแปลงไป จนทำให้ผลที่ออกมาคาดเคลื่อนได้ หากคุณเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการมีบุตรยาก ควรระมัดระวังไม่ทำอะไรที่ต้องออกแรงมาก เดินให้น้อยลง และพักผ่อนให้มากขึ้น


Week 5
- ในระยะแรกๆ ของการเติบโต ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วจะอาศัยดูดอาหารและซึมผ่านของเสียผ่านเยื่อบุมดลูก จนกระทั่งรก และสายสะดือได้เริ่มทำหน้าที่นี้แทนในอีก 2-3 สัปดาห์ต่อมา ในช่วงนี้คุณจะเริ่มรู้แล้วว่าประจำเดือนขาดไปแน่นอนคุณควรไปพบหมอเพื่อตรวจเช็กความสมบูรณ์ของการตั้งครรภ์ คุณหมอจะซักประวัติ ตรวจวัดส่วนสูง และน้ำหนัก เพื่อคำนวณดูขนาดของทารก พร้อมกับกำหนดวันคลอด


Week 6
- อาการแพ้ท้องต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันต่อมน้ำนมก็เตรียมผลิตน้ำนม จึงทำให้เต้านมขยาย และคัดตึง เพราะน้ำนมสามารถไหลผ่านออกมาได้ ช่วงแรกของการตั้งครรภ์คุณหมอจะเว้นช่วงห่างของการนัดตรวจในทุก 1 เดือน แต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น คุณหมอก็จะนัดถี่ขึ้นไปทุก 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากเกิดอาการผิดปกติขึ้น ควรรีบปรึกษาหมอในทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลานัด


Week 7
- ขณะนี้ลูกของคุณมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเล็กๆ เม็ดหนึ่ง แต่ถึงจะมีขนาดที่เล็ก หนูน้อยมีอวัยวะสำคัญหลายอย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หากมองทะลุผนังเข้าไปได้ จะเห็นว่าเขามีหัวที่ใหญ่กล่าลำตัว มีจุดสีดำเล็กๆ บริเวณตา และสมองมีร่องรอยของหู มีปุ่มแขนขาเล็กขึ้นมา หัวใจของเขาเริ่มแบ่งออกเป็นห้องซ้ายและขวา และเต้นประมาณ 150 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าในผู้ใหญ่ถึง 2 เท่า ในช่วงนี้ลองถามคุณหมอถึงระดับฮอร์โมนไทรอยด์ว่าอยู่ในระดับที่ต่ำหรือสูงเกินไปหรือไม่ เพราะการทำงานที่ผิดปกติของไทรอยด์อาจส่งผลต่อลูกในท้องได้


Week 8
- หากคุณยังไม่เคยไปฝากครรภ์ คุณควรรีบไปในสัปดาห์นี้ (อย่างช้า 2 สัปดาห์นับจากที่รู้ว่ารอบเดือนขาดไป) เพราะตลอด 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ จะเป็นช่วงที่ตัวอ่อนกำลังสร้างอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง หากมีเหตุอะไรที่ไปขัดขวางพัฒนาการของอวัยวะสำคัญเหล่านี้ ก็จะส่งผลให้ทารกพิการหลังคลอดได้ การไปฝากครรภ์หากเร็วไปเท่าไร ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งของแม่และลูกในครรภ์มากเท่านั้น เพราะหากคุณหมอเกิดตรวจพบสิ่งผิดปกติใดขึ้น ก็จะสามารถให้การรักษาได้ทันหรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความรุนแรงลงได้


Week 9
- จากปุ่มเล็กๆ คู่บนและล่าง ที่บ่งบอกว่าเป็นจุดเริ่มของแขนขาของตัวอ่อน ในสัปดาห์นี้แขนของตัวอ่อนยาวขึ้นจนเห็นได้ชัดว่ามีสองส่วน โดยมีส่วนโค้งของข้อศอกเป็นส่วนเชื่อม หัวใจและสมองของเขามีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากขึ้น เปลือกตา และจมูกเริ่มปรากฏรูปร่างขึ้นศีรษะที่มีขนาดใหญ่ ในการฝากครรภ์ครั้งแรกคุณหมอจะต้องวัดส่วนสูงให้กับคุณด้วย เนื่องจากส่วนสูงจะเป็นตัวบอกขนาดของกระดูกอุ้งเชิงกรานของคุณหากพบว่าอุ้งเชิงกรานมีขนาดเล็กเกินกว่าที่ศีรษะของเด็กจะรอดออกมาได้ คุณหมอก็จะแนะนำให้ผ่าท้องคลอด


Week 10
- หางเล็กๆ ของตัวอ่อนหดมาเป็นกระดูกก้นกบเรียบร้อยแล้วในสัปดาห์นี้ อวัยวะที่เป็นโครงสร้างสำคัญก็มีครบแล้วเพียงแต่ว่ายังมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น ตอนนี้หัวใจของคุณทำงานอย่างหนัก เพื่อสูบฉีดเลือดไปบำรุงทุกส่วนของร่างกายให้พร้อมสำหรับการเจริญเติบโตของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ การทำงานที่หนักทำให้หัวใจของคุณขยายใหญ่ขึ้น ในการนัดฝากครรภ์ช่วงแรกๆ ทุกครั้งคุณหมอจะทำการตรวจความดันของเลือดเพื่อให้แน่ใจว่าความดันไม่สูงเกินไป เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงลักษณะอาการของโรคครรภ์เป็นพิษได้ นอกจากนี้คุณหมอยังต้องตรวจปัสสาวะ ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง ตรวจเลือดและเช็คดูระดับการพองตัวของข้อมือและข้อเท้า


Week 11
- อวัยวะสำคัญทั้งหมดพัฒนาเต็มที่แล้ว ช่วงเวลานี้เป็นนาทีของการเก็บรายละเอียด เช่น เล็บมือ เส้นผมบางๆ ส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเริ่มปรากฏรูปร่างให้เห็นเป็นเค้าโครงแล้ว อีกประมาณ 3 อาทิตย์ ก็จะรู้ได้แล้วว่า ลูกของคุณเป็นหญิงหรือชายนัดพบกับคุณหมอคราวหน้า คุณรอเตรียมตัวฟังเสียงหัวใจของลูกได้เลย คุณจะได้ยินเสียงหัวใจน้อยๆ ของเขาเต้นแข่งกับเสียงหัวใจของคุณ


Week 12
- นิ้วมือ และ นิ้วเท้าแยกออกจากกันแล้ว กระดูกบางชิ้นเริ่มที่จะแข็งขึ้น ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า จนถึงสัปดาห์นี้ คุณหมอจะทำการตรวจชิ้นเนื้อจากเยื่อหุ้มตัวอ่อน หรือที่เรียกว่า CSV (Chorionic villus sampling) เพื่อเช็คดูความผิดปกติของโครโมโซมหรือไม่ ในการตรวจคุณหมอจะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กมากเจาะผ่านเข้าไปในมดลูกของคุณเพื่อนำเอาเซลล์จากเนื้อเยื่อที่หุ้มตัวอ่อนออกมาทำการทดสอบภายในห้องทดลอง ซึ่งคุณจะรู้ผลหลังจากนั้นอีก 2-3 สัปดาห์ต่อมา การตรวจในลักษณะนี้อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อการคลอดกำหนดได้


Week 13
- ตอนนี้ความกว้างของมดลูกจะขยายออกไปกว่า 4 นิ้วแล้ว และเคลื่อนตัวจากบริเวณอุ้งเชิงกรานมาที่บริเวณท้อง มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น จะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้คุณต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น แต่อาการนี้จะหายไปได้เองเมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์ทุกครั้ง คุณหมอจะตรวจปัสสาวะให้กับคุณด้วยเพื่อตรวจเช็คระดับโปรตีน และน้ำตาลในปัสสาวะหรือสารเคมีที่เรียกว่า “คีโทน” ทั้งสามชนิดสามารถบ่งบอกอาการของโรคครรภ์เป็นพิษ โรคเบาหวาน และโรคที่เกี่ยวกับไต


Week 14
- ขณะที่อวัยวะต่างๆ ของทารกกำลังพัฒนาไปในส่วนที่เป็นรายละเอียด บนใบหน้าของทารกก็เริ่มมีการเคลื่อนย้ายอวัยวะสำคัญๆ เช่น ดวงตาเคลื่อนจากด้านข้างทั้งสองมาอยู่บนใบหน้า หูเคลื่อนจากด้านล่างขึ้นมาสู่ตำแหน่งปกติ ขณะนี้มดลูกของคุณจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอจะตรวจขนาดของมดลูก โดยการคลำหน้าท้องหาตำแหน่งของยอดมดลูก เพื่อเช็คดูขนาดของเด็กในท้อง คุณหมอจะสามารถประมาณวันครบกำหนดคลอดของคุณได้แม่นยำขึ้นจากการตรวจอัชตราซาวนด์


Week 15
- ลูกน้อยของคุณจะเริ่มมีเส้นผมขึ้นเต็มศีรษะ และมีขนตาแล้ว ผิวของเขาบางใส สามารถมองทะลุเห็นเส้นเลือดที่กำลังพัฒนากล้ามเนื้อมีการทำงานที่ยืดหยุ่น ข้อมือ และข้อแขนงอ และกำมือได้แล้วในช่วงนี้คุณจะเริ่มทุเลาจากอาการแพ้ท้องแล้ว และเริ่มมีกำลังวังชาขึ้นมาบ้าง คงเหลือไวแต่เพียงความรู้สึกปลาบปลื้มที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้องเท่านั้น สำหรับคุณแม่บางท่านอาจมีอาการแพ้ท้องยืดเยื้อออกไปจาก 3 เดือนแรกบ้าง แต่ถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์ให้ช่วยวินิจฉัยดูเพราะบางทีอาจเป็นสัญญาณอันตรายที่นึกไม่ถึงได้


Week 16
- ลูกของคุณมีขนาดเท่าฝ่ามือของคุณได้แล้วล่ะ ถึงจะตัวจิ๋วขนาดนั้นแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาเริ่มมีพัฒนาการ เขาสามารถขยับใบหน้า อ้าปาก และขมวดคิ้วได้ประมาณสัปดาห์ที่ 11 -16 คุณหมอจะทำการตรวจวัดความหนาของหน้าอกคอ ซึ่งเป็นการใช้อัลตราซาวนด์เช็คดูปริมาณของเหลวที่อยู่ด้านหลังคอของทารกผลที่ได้จะนำไปคำนวณร่วมกับอายุ และระดับฮอร์โมนในเลือดของคุณ เพื่อเช็คดูความน่าจะเป็นในการเกิดโรคดาวน์ซินโดรมในทารกอีกครั้ง แต่ผลที่ได้จากการตรวจนี้ จะต้องนำไปวินิจฉัยร่วมกับการตรวจแบบ CVS และการเจาะตรวจน้ำคร่ำด้วย


Week 17
- ระบบต่างๆ ภายในตัวของทารกเริ่มทำงานได้บ้างแล้ว เช่น กระเพาะอาหารและกระเพาะปัสสาวะ ทุกขณะที่ลูกของคุณเติบโตขึ้น ภายในร่างกายของคุณจะต้องมีการสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว การตรวจเลือดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่คุณหมอจะต้องตรวจให้กับคุณนับตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณไปฝากครรภ์ เพื่อเช็คดูอาการของโรคต่างๆ ที่สามารถส่งต่อมายังลูกในท้องได้ เช่น หัดเยอรมัน, HIV, โรคไวรัสตับอักเสบบี, ธาลัสซีเมีย เป็นต้น


Week 18
- ระบบภายในร่างกายของทารกหลายอย่าง เริ่มมีการทำงานขึ้นบ้างแล้ว กระดูกชิ้นเล็กๆ ในหูที่เป็นทางผ่านของเสียงเข้าสู่หูชั้นในแข็งขึ้น เซลล์ประสาทในสมองส่วนที่รับรู้และส่งสัญญาณจากหูกำลังพัฒนา ทำให้เขาสามารถได้ยินเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาได้แล้ว ในสัปดาห์นี้คุณหมอจะทำการตรวจเพื่อเช็คดูความสมบูรณ์ของทารกที่เรียกว่า AFP test (Alpha feto pretein) ซึ่งจะเป็นการตรวจหาระดับค่า AFP ในเลือด ถ้าหากมีค่าที่สูงมาก นั่นอาจหมายถึงว่าเด็กมีความสมบูรณ์ดีมาก หรือคุณได้ลูกแฝด แต่ถ้าค่า AFP ออกมาต่ำมาก อาจบอกถึงอาการของโรคกระดูกสันหลังไม่ปิด หรือดาวน์ซินโดรมได้ แต่ผลที่ได้จากการตรวจ AFP ยังต้องได้รับการยืนยันจากการตรวจเจาะถุงน้ำคร่ำร่วมด้วย


Week 19
- หากผลการตรวจหาค่า AFP ออกมาต่ำ คุณจะต้องได้รับการตรวจเจาะถุงน้ำคร่ำอีกครั้ง เพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบความผิดปกติของโครโมโซมและอาการของโรคดาวน์ซินโดรม ในการตรวจลักษณะนี้อาจเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้แต่ไม่มากนัก เนื่องจากในการตรวจคุณหมอจะต้องใช้เข็มเล็กๆ เจาะผ่านผนังมดลูกเข้าไปดูดเอาน้ำคร่ำในรกออกมาทำการตรวจ ซึ่งนอกจากผลของค่า AFP ต่ำแล้ว หากพบว่าภายในครอบครัวของคุณมีคนที่เคยมีอาการผิดปกติของโครโมโซมเกิดขึ้น หรือถ้าคุณมีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไปคุณหมอจะทำการตรวจในลักษณะนี้ให้เช่นกัน


Week 20
- เซลล์ประสาทภายในสมองกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ในสัปดาห์นี้ รกมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อมีน้ำหนักมากกว่า 1 ปอนด์อุดมไปด้วยโครงข่ายเส้นเลือด ส่วนหลอดเลือดของทารกขยายใหญ่ขึ้น จึงเหมาะกับการตรวจเจาะผ่านเส้นเลือดได้แล้ว โดยคุณหมอจะเจาะผ่านผนังช่องท้อง และสอดเข็มผ่านเส้นเลือดในสายสะดือที่อยู่ใกล้กับรกเพื่อนำเอาเลือดของเด็กมาทำการตรวจสอบหาความผิดปกติของโครโมโซมและอาการของโรคหัดเยอรมัน และโรคทอกโซพลาสโมซิส


Week 21
- สมองของทารกกำลังพัฒนาเซลล์ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ การได้กลิ่น ลิ้มรส การได้ฟัง ได้เห็น และการสัมผัส คุณจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกอย่างชัดเจนขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ การทำบันทึกจำนวนครั้งของการดิ้นของทารกในครรภ์เป็นอีกวิธีหนึ่งที่คุณสามารถตรวจเช็คสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์ได้ด้วยตัวคุณเอง หากรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยดิ้น หรือไม่ดิ้นเลย ควรรีบบอกให้คุณหมอทราบทันที


Week 22
- ผิวของทารกหนาขึ้นเป็น 4 ชั้น ต่อมพิเศษในร่างกายหลั่งไขเคลือบผิวที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้งออกมาเพื่อป้องผิวบอบบาง ขณะที่ขนอ่อนยึดไขเคลือบผิวไว้ ในช่วงนี้น้ำหนักของคุณจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณควรเช็คระดับการเพิ่มของน้ำหนักตลอดการตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเป็นพิษได้ โดยปกติคุณควรจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 0-1 กก. ต่อสัปดาห์ตลอดการตั้งครรภ์คุณควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 6-19 กก. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนสูง และขนาดตัวของคุณเองด้วย


Week 23
- เจ้าตัวน้อยมีเซลล์เม็ดเลือดแดงจำนวนมาก และเริ่มที่จะผลิตเม็ดเลือดขาว ส่วนตัวคุณเองก็ยังคงมีปริมาณเลือดเพิ่มขึ้นต่อไป และเริ่มที่จะผลิตเม็ดเลือดสีขาว ส่วนตัวคุณเองก็ยังคงมีปริมาณเลือดที่เพิ่มเป็นพลาสมา ซึ่งจะไปเจือจางเม็ดเลือดแดงทำให้คุณเกิดภาวะโลหิตจางซึ่งจะต่ำสุดในช่วงนี้แต่ถือเป็นเรื่องปกติในหญิงตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่ควรประมาท ควรให้แพทย์ตรวจดูว่าร่างกายได้ธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ ที่จะไม่ทำให้ภาวะโลหิตจางเลวร้ายจนเข้าขั้นอันตรายได้


Week 24
- ริมฝีปากของทารกเริ่มปรากฏชัดขึ้นในสัปดาห์นี้ มีปุ่มโผล่ดุนเหงือกขึ้นมาเรียงเป็นแถว ส่วนตัวคุณเองน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่คงที่ และมีตกขาวมากขึ้นกว่าปกติ อย่าตกใจไป เพราะนั่นเป็นอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มสูงขึ้นแต่ถ้าตกขาวมีสีสันแปลกๆ แถมมีกลิ่นด้วย อย่างนี้ต้องไปปรึกษาคุณหมอให้ช่วยตรวจเช็ค เพราะบางทีอาจมีสาเหตุมาจากการที่ช่องคลอดติดเชื้อซึ่งถ้าปล่อยไว้จนอักเสบมากอาจส่งผลให้ต้องคลอดก่อนกำหนดได้


Week 25
- เส้นเลือดในปอดของลูกกำลังพัฒนาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการหายใจด้วยตัวเองแล้ว แต่ตอนนี้เขายังอาศัยออกซิเจนจากคุณอยู่ จนกว่าจะคลอดออกมา อาหารเสริมของเขาในช่วงนี้ คือ ของเหลวในน้ำคร่ำ เขาชอบที่จะกลืนและขับถ่ายน้ำคร่ำในรกและสะอึกบ้างในบางครั้ง ช่วงปลายสัปดาห์ มดลูกของคุณจะหดรัดตัวเพื่อเตรียมร่างกายสำหรับการเจ็บท้องคลอด คุณอาจรู้สึกว่าหน้าท้องมีก้อนแข็งนูนขึ้นมาเป็นระยะๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่หากมีอาการเจ็บปวดและท้องขยายใหญ่มากอาจเป็นอาการรกลอกตัวก่อนกำหนดได้ คุณควรรีบไปพบแพทย์ทันที หากช้า อาจทำให้ลูกของคุณขาดออกซิเจนจนเป็นอันตรายต่อสมอง และอาจถึงชีวิตได้


Week 26
- ปอดของหนูน้อยเริ่มขยับขึ้น-ลง คล้ายกับว่าเขากำลังหายใจด้วยตัวเองแล้ว แต่ความจริงแล้วเป็นการซ้อมทำหน้าที่ของปอดเท่านั้น ทันทีที่หัวใจของทารกเริ่มเต้น คุณหมอจะตรวจดูจังหวะการเต้นว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ซึ่งนอกจากการตรวจโดยใช้ฟังเสียงหัวใจทารกเต้นแล้ว คุณหมอก็จะทำการอัลตราซาวนด์เพื่อดูพัฒนาการของกล้ามเนื้อหัวใจในเด็กด้วย


Week 27
- ลูกของคุณลืมตาขึ้นได้แล้วในสัปดาห์นี้ อวัยวะทุกอย่างของเขามีการทำงานเกือบสมบูรณ์แล้ว ถ้าต้องคลอดออกมาเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลเป็นพิเศษจากหมอ ช่วงนี้คุณอาจมีความดันเลือดสูงขึ้นเล็กน้อย เป็นเรื่องปกติแต่ถ้าน้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด เพราะสายตาพร่ามัว มือและเท้าบวม และลามมาถึงหน้า และคอ ควรรีบปรึกษาแพทย์ด่วน เพราะอาจเป็นอาการของโรคครรภ์เป็นพิษได้


Week 28
- ช่องต่างๆ ในสมองของทารกพัฒนามากขึ้น ขณะที่เนื้อเยื่อต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากนับจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป คุณหมอจะเริ่มนัดคุณถี่ขึ้นเป็นทุกๆ 2 สัปดาห์ คุณหมอจะทดสอบภาวะในร่างกายหลายอย่างด้วยกัน เช่น การวัดระดับธาตุเหล็ก และกลูโคสในร่างกาย ถ้าผลการทดสอบออกมาเป็นลบคุณหมอจะตรวจสอบดูว่าภูมิต้านทานในร่างกายของคุณสร้างปฏิกิริยาต่อต้านกับกระแสเลือดของทารกหรือไม่ ปฏิกิริยาดังกล่าวจะมีผลต่อการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไป ซึ่งจะทำให้ทารกคนต่อไปเป็นโรคตัวเหลือง ดีซ่าน และโรคโลหิตจางได้


Week 29
– สัปดาห์นี้ลูกของคุณควรจะลืมตาได้แล้ว เล็บของเขาขึ้นมาเป็นปุ่มให้เห็น ชั้นไขมันก่อตัวขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในโลกภายนอก มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจนไปเบียดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้คุณต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น หากมีอาการอ่อนเพลียร่วมด้วย หรือมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัวคุณควรจะปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ได้ ในการตรวจจะเจาะเลือดของคุณในขณะที่ผ่านการงดอาหารมา จากนั้นจะให้คุณดื่มน้ำตาลกลูโคส 100 กรัม และเจาะเลือดอีก 3 ครั้ง ห่างกันทุก 1 ชั่วโมง ถ้ามีน้ำตาลในกระแสเลือดสูงผิดปกติก็คือว่าเป็นเบาหวานคุณจะต้องได้รับการดูแลจากคุณหมออย่างใกล้ชิด


Week 30
- สมองของลูกน้อยของคุณกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว หัวของเขายังคงมีขนาดใหญ่พอสำหรับการเติบโต ในสัปดาห์นี้คุณหมออาจสแกนให้ดูว่าภายในสมองของเจ้าตัวน้อยจะตอบรับกับการสัมผัสได้ดีเพียงใด ถ้าหากคุณหมอฉายไฟส่องไปที่ท้อง แล้วลูกของคุณหันศีรษะไปตามแสงไฟที่ส่องมา ก็แสดงว่าประสาทตาของเขาเริ่มทำงานแล้วนั่นเอง


Week 31
- เครือข่ายเนื้อเยื่อในถุงลมปอดพัฒนาขึ้น และหลั่งสารที่ช่วยป้องกันไม่ให้ถุงลมล้มเหลวในการใช้งานเมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว เลือดประมาณ 16 ออนซ์จะไหลเข้าไปในผนังมดลูกบริเวณรกเส้นเลือดของคุณแม่จะอยู่ใกล้กับเส้นเลือดฝอยของทารก โดยมีเยื่อบางๆ เป็นผนังกั้นไว้ ป้องกันไม่ให้เลือดของแม่ผสมเข้ามาปนกับเลือดของทารกหากคุณหมอตรวจพบว่าคุณมีเลือดเป็นอาร์เอชลบ คุณหมอจะฉีดยาแอนตี้บอดี้ (anti-D gamma globulin) เพื่อปกป้องไม่ให้เกิดอันตรายใดๆ กับลูกน้อยของคุณ ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่คลอดออกมา


Week 32
- ตอนนี้ลูกของคุณกำลังอยู่ในท่ากลับหัวลงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะคลอดแล้ว อวัยวะต่างๆ ของเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชั้นไขมันเกาะติดกับชั้นผิวนับจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป คุณหมอจะเริ่มนัดคุณถี่ขึ้นเป็นทุกๆ 2 สัปดาห์เพื่อตรวจสุขภาพของคุณ และลูกในท้องอย่างใกล้ชิด คุณควรให้คุณหมอช่วยตรวจดูว่าภาวะโลหิตจางในตัวคุณเริ่มลดลงหรือยัง ถ้าลดลงแล้ว คุณควรเลิกรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก เพราะจะทำให้อาการริดสีดวงทวารของคุณเป็นมากขึ้น


Week 33
– ผมที่ศีรษะของเจ้าหนูหนาขึ้น สีผมในช่วงนี้อาจเปลี่ยนไป เมื่อทารกโตขึ้น ขณะเดียวกัน ขนอ่อนตามส่วนต่างๆ จะหลุดร่วงไปเกือบหมด และสร้างผมชุดใหม่ที่หนาขึ้นปกคลุมไขเคลือบผิวหนัง สำหรับคุณมดลูกจะหดรัดตัวเป็นก้อนนูนเป็นจังหวะสม่ำเสมอคุณจะรู้สึกเกร็งที่ยอดมดลูกและค่อยๆ คลายตัวลงมา หากมีของเหลวไหลออกมาด้วย ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที


Week 34
- ลูกของคุณอยู่ในท่ากลับหัวและเตรียมพร้อมที่จะออกมาดูโลกแล้ว ต่อมหมวกไตของเขาจะผลิตฮอร์โมน สเตียรอยด์มากขึ้นเป็น 10 เท่า หากมีแนวโน้มว่าทารกมีโอกาสที่จะคลอดก่อนกำหนด คุณหมอจะเจาะตรวจน้ำคร่ำ เพื่อทดสอบความเจริญเต็มที่ของปอดหากพบว่าปอดยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่คุณหมอจะฉีดยาเร่ง เพื่อขยายการเติบโตในปอดของทารก


Week 35
- กระดูกสันหลังของลูกคุณยังอ่อนบาง และมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะหลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก ในช่วงใกล้คลอด คุณไม่ควรไปไหนไกลๆ แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นให้ต้องเดินทางจริงๆ ควรพกพาสมุดบันทึกประวัติสุขภาพครรภ์ไปด้วย (คุณหมอจะต้องทำบันทึกไว้ทุกครั้งที่คุณไปตรวจตามนัด) เพื่อที่ว่า หากคุณเกิดไปเจ็บท้องคลอดกะทันหันที่ไหน สูติแพทย์ที่อยู่บริเวณนั้นจะได้ให้การช่วยเหลือคุณได้ถูกต้อง


Week 36
- คุณจะสังเกตได้ว่าลูกของคุณในช่วงนี้เริ่มดิ้นน้อยลง นั่นเพราะตอนนี้เขามีขนาดลำตัวที่ใหญ่จนเต็มพื้นที่ภายในช่องท้องของคุณ และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกอีกต่อไป ในช่วงนี้คุณหมอจะนัดคุณถี่ขึ้นเป็นทุกสัปดาห์เพื่อเตรียมแผนการคลอดและการเลี้ยงทารกแรกเกิด และให้คุณตัดสินใจเลือกวิธีบรรเทาความเจ็บปวดระหว่างช่วงการเบ่งท้องคลอด


Week 37
- ตอนนี้ลูกของคุณพร้อมที่จะออกมาดูโลกได้ทุกขณะ แต่ถ้าปากมดลูกยังไม่เปิดเขาก็ยังจะเจริญเติบโตจนครบ 40 สัปดาห์ ระหว่างสัปดาห์นี้ ลูกของคุณกำลังหย่อนศีรษะลงมาถึงบริเวณกระดูกอุ้งเชิงกรานแล้ว ช่วงนี้คุณหมอจะตรวจดูว่าปากมดลูกใกล้ที่จะเปิดหรือยัง มีความหนามากเกินไปหรือไม่ และเด็กอยู่ในท่าไหน และตำแหน่งไหนแล้ว


Week 38
- ไขเคลือบผิวของทารกจะลอกออกมาปะปนอยู่ในน้ำคร่ำที่ทารกกลืนเข้าไป และขับออกมาเป็นของเสียขณะเดียวกันร่างกายของทารกก็จะขับของเสียออกมาที่ลำไส้ทำให้เมื่อคลอดออกมาทารกจะมีเมือกสีเขียวเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วตัว ถ้าลูกของคุณเป็นผู้ชาย ลูกอัณฑะของเขาจะเลื่อนลงมาอยู่ในถุงอัณฑะในช่วงนี้ เมื่อทารกคลอดออกมา แพทย์จะตรวจสอบอวัยวะส่วนนี้


Week 39
– สารแอนติบอดี้ในร่างกายของคุณแม่จำนวนเล็กอาจซึมผ่านผนังกั้นรก และเข้าสู่ในกระแสเลือด ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรคชั่วคราว และจะหายไปภายใน 6 เดือน ซึ่งจะเป็นช่วงที่ระบบภูมิคุ้มกันของทารกจะเจริญเต็มที่คุณหมอจะให้คำแนะนำกับคุณถึงอาการเจ็บท้องคลอดในระยะแรก ซึ่งจะมีการหดรัดตัวของมดลูกแรงขึ้น เมื่อเคลื่อนไหวร่างกายเป็นจังหวะสม่ำเสมอและบ่อยครั้ง ถุงน้ำคร่ำแตก และมีของเหลวไหลออกมาพร้อมกับเลือด ควรรีบไปโรงพยาบาลได้เลย


Week 40
- สิ่งสุดท้ายที่คุณไม่ควรลืมที่จะตรวจเช็คสภาพให้แน่นอนนั่นคือ ความพร้อมที่จะทำหน้าที่ “แม่” คุณหมออาจตรวจสุขภาพร่างกายของคุณและลูก พร้อมให้การรักษา และคำแนะนำดีๆ ในการดูแลที่ถูกต้อง