วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
การฟื้นฟูจิตใจหลังภัยน้ำท่วม
น้ำท่วมใหญ่คราวนี้คนไทยต่างต้องพบเจอกับความทุกข์ทั้งทางกายและใจกันโดยถ้วนทั่ว ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าความเครียดของคนไทยยามนี้ ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากความกลัวซึ่งไม่ได้กลัวน้ำ เพราะน้ำนั้นไม่น่ากลัว แต่กลัวว่าข้าวของทรัพย์สินบ้านเรือนจะเสียหายจากน้ำท่วม ยิ่งได้รับข่าวสารกรอกหูอยู่ทุกวัน ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความกลัวเป็นอาการตื่นตระหนก กลายเป็นโรคเครียด และนำพาตัวเองสู่ภาวะจิตตกเป็นโรคซึมเศร้าไปตามๆกัน รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ มีข้อคิดในการดูแลจิตใจและร่างกายด้วยวิธีง่ายๆ มาฝากค่ะ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาวะความเครียด อาจจะมาจากหลายๆ ปัจจัย ก่อนอื่นก็ต้องสังเกตตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร เป็นคนวิตกกังวลง่ายอยู่แล้วหรือเปล่า ก็อาจจะทำให้เกิดความเครียดได้ง่ายกว่าคนอื่น เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ก็ควรปรับตัวต่อสถานการณ์
ในที่สุดแล้วในภาวะวิกฤต ที่คาดคิดว่ามันเลวร้ายที่สุด ถ้าเตรียมรับมือกับมันอย่างมีสติ มีการปรับความคิด ทำจิตใจให้สงบไม่ว่าน้ำจะท่วมบ้าน หรือยังไม่ท่วม ก็สามารถอยู่กับมันได้
เมื่อผ่านพ้นช่วงเหตุการณ์นํ้าท่วมมาแล้ว เราควรตั้งสติและก้าวต่อไปข้างหน้า และวางแผนชีวิตว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
วิธีการวางแผนชีวิตอย่างง่าย ๆ คือ
เริ่มจากทำจิตใจให้สงบและคิดว่าเรายังโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีความสามารถ มีสมอง และสองมือ ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ยังมีคนอื่นที่ลำบากมากกว่าเราสำหรับสิ่งของที่สูญเสียไปแล้วสามารถซ่อมแซมและสร้างขึ้นใหม่ได้ตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่
สิ่งสำคัญอย่าลงโทษหรือตำหนิตนเอง เพราะเหตุการณ์นํ้าท่วมไม่มีใครอยากให้เกิดและไม่สามารถควบคุมได้
หลังจากนั้นทบทวนว่าสิ่งที่จะต้องลงมือทำมีอะไรบ้าง หรือร่วมกันคิดกับคนภายในครอบครัวว่าจะทำอย่างไรต่อไป จดบันทึกลงในกระดาษแล้วจัดกลุ่มรายการที่ต้องทำเป็นหมวดหมู่ เช่น เรื่องการกินอยู่ เรื่องสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว เรื่องการซ่อมแซมหรือสร้างที่อยู่อาศัย โดยจัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของสิ่งที่ต้องทำ
สุดท้าย เลือกทำในสิ่งที่สามารถทำได้ง่ายก่อน และสามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือคนในครอบครัว เช่น ซ่อมแซมที่พักอาศัย ทำความสะอาดบ้าน จัดเก็บทำความสะอาดเสื้อผ้าที่ยังพอใช้ได้ แล้วค่อยหาความช่วยเหลือจากคนอื่น หรือหน่วยงานอื่น
การฟื้นฟูจิตใจหลังภัยนํ้าท่วม
ขั้นตอนการดูแลสุขภาพจิตตนเองที่สำคัญคือ
1. สำรวจอารมณ์ตนเอง สร้างความพร้อมทางจิตใจ
2. ยอมรับและเผชิญความจริงเพื่อแก้ปัญหา
3. มีเครือข่ายร่วมแก้ปัญหา
4. ผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น
• ดูแลสุขภาพและพักผ่อนให้เพียงพอ
• หยุดพักการรับรู้ข่าวสารที่ไม่จำเป็นหรือสิ่งที่เป็นต้นเหตุความเครียด
• พบปะพูดคุยกับเพื่อนที่ไว้วางใจ
• ทำกิจกรรมผ่อนคลายที่ถนัดและชื่นชอบ
• เล่นกีฬาหรือบริหารร่างกาย
• การร่วมกันปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในที่อยู่อาศัยหรือศูนย์อพยพ
• สิ่งสำคัญที่ควรระลึกถึง คือ การหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น การดื่มสุรา สูบบุหรี่ เล่นการพนัน การทะเละเบาะแว้ง ใช้ความรุนแรง กินของจุกจิก หรือใช้ยาเสพติด เพราะนอกจากจะทำลายสุขภาพแล้ว ยังอาจทำให้มีปัญหาอื่น ๆ ตามมามากมาย เช่น เสียทรัพย์สินเงินทอง เกิดความขัดแย้ง ไม่เข้าใจกับคนในครอบครัว
นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล
จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Dangerous Heels – ส้นสูงมหันตภัย
รองเท้าส้นสูงกับผู้หญิงคงเป็นเรื่องที่ขาดกันไม่ได้ จะออกงาน จะออกเดท จะทำอะไรที่ต้องการดูสวยสง่าก็ต้องส้นสูงไว้ก่อนจริงไหมคะ
รองเท้าส้นสูงก็มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยอียิปต์เชียวนะคะ ว่ากันว่าชนชั้นสูงจะต้องใส่รองเท้าส้นสูงในงานพิธีสำคัญๆ ในขณะที่พ่อค้าแม่ค้าโรงฆ่าสัตว์ต้องใส่ส้นสูงอีกแบบนึงจะได้ไม่ต้องเดินลุยกองเลือดของสัตว์น่ะค่ะ สมัยนี้รองเท้าส้นสูงมีรูปทรงตั้งหลายแบบ แต่ถ้าดูเฉพาะลักษณะส้นอย่างเดียวอาจแยกได้เป็น
• Stiletto จะส้นแหลมปรี๊ดตั้งแต่ 2-10 นิ้ว และมีเส้นผ่าศูนย์กลางของส้นส่วนที่แตะพื้นไม่เกิน 0.4 นิ้ว
• Kitten จะส้นสูงไม่เกิน 2 นิ้ว และมีเส้นผ่าศูนย์กลางของส้นส่วนที่แตะพื้นไม่เกิน0.4 นิ้วเช่นกัน
• Cone จะมีลักษณะเหมือนกรวย คือ กลมใหญ่ด้านบนและเรียวเล็กลงมา
• Prism คล้ายๆ ส้นแบบ Cone แต่เป็นสามเหลี่ยม
• Spool ทรงนี้จะเหมือนทรงโบราณที่ด้านบนใหญ่แล้วเรียวเป็นก้านลงมาแต่มาบานออกตรงปลายนิดหน่อย
• Wedge เป็นลักษณะทรงเตารีด คือส้นจะสูงและเป็นชิ้นเดียวมาจนถึงด้านหน้าซึ่งจะเตี้ยกว่า
• Kitten จะส้นสูงไม่เกิน 2 นิ้ว และมีเส้นผ่าศูนย์กลางของส้นส่วนที่แตะพื้นไม่เกิน0.4 นิ้วเช่นกัน
• Cone จะมีลักษณะเหมือนกรวย คือ กลมใหญ่ด้านบนและเรียวเล็กลงมา
• Prism คล้ายๆ ส้นแบบ Cone แต่เป็นสามเหลี่ยม
• Spool ทรงนี้จะเหมือนทรงโบราณที่ด้านบนใหญ่แล้วเรียวเป็นก้านลงมาแต่มาบานออกตรงปลายนิดหน่อย
• Wedge เป็นลักษณะทรงเตารีด คือส้นจะสูงและเป็นชิ้นเดียวมาจนถึงด้านหน้าซึ่งจะเตี้ยกว่า
ส้นพวกนี้ยังไงก็ต้องเขย่ง ยืน และเดินอยู่บนส้นสูงตลอดทั้งวัน คงจะมีแค่ส้นแบบ Kitten กระมังที่ไม่สูงจนเกินไป สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ก็เตือนอยู่เนืองๆ เรื่องอันตรายจากรองเท้าส้นสูง เอาแค่ง่ายๆ ก็ถ้าใส่ส้นสูงแล้วถือของหนัก เช่น ไปทำงานแล้วก็ไป shopping ตอนกลางวันหอบหิ้วของพะรุงพะรัง อาจมีอันตรายข้อเท้าพลิก เอ็นฉีก หรือถึงขั้นกระดูกหักเลยค่ะ จะอะไรก็ตามถ้าใส่รองเท้าที่มีลักษณะส้นสูงเทปลายเท้าจิกแล้วล่ะก็ยิ่งใส่มาเป็นระยะเวลานานหลายปี ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณมากยิ่งขึ้น
เพราะมันเป็นลักษณะการทรงตัวที่ไม่ถูกกายวิภาคน่ะค่ะ โดยจะมีผลกระทบที่ข้อเท้า เพราะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ชิดเท้ามากที่สุด ต่อมาก็หัวเข่า เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ผิดลักษณะ สุดท้ายคือ กระดูกสันหลัง เป็นส่วนที่จะต้องรับแรงซึ่งเกิดจากการยืน หรือเดินโดยขณะที่เดินอวัยวะทั้ง 3 ส่วน จะต้องทำงานผสมผสานควบคู่กันไป แต่เมื่อใช้งานหนักกล้ามเนื้อจะเกิดการอ่อนล้า ปวดเกร็งที่หลังเพราะเวลาใส่ส้นสูงแกนกระดูกสันหลังจะโน้มไปข้างหน้าร่างกายจะพยายามรักษาสมดุลโดยอัตโนมัติด้วยการต้าน และเกร็งไม่ให้ลำตัว รวมถึงแผ่นหลังเอนไปข้างหน้าจนมากเกินไป จึงเกิดการแอ่นหลัง พอแอ่นหลังมากๆ ก็จะทำให้กระดูกบริเวณบั้นเอวรับนํ้าหนักมาก เมื่อสะสมเป็นเวลานานหมอนรองกระดูกอาจจะเคลื่อนออกมา และกดทับเส้นประสาท เฮ้อ…จะสวยทั้งทีก็ต้องมีมารผจญ!
อาการที่น่าสังเกตคือ ปวดหลังนำ แล้วก็ร้าวลงขา ต่อมาขาอาจชาและอ่อนแรง เดินไกลๆ ไม่ไหว นั่งนานๆ ก็ไม่ได้ อาจชาลงขาเหมือนกัน และถ้าเป็นมากๆ อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะ หรือ อุจจาระไม่ได้ ต้องมาพบแพทย์ด่วนเลยนะคะ หากผู้ที่มีอาการปวดหลังมาก และกังวลว่าจะมีอาการของหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท อาจต้องทำการเอ็กซเรย์, MRI เพื่อประเมินสภาวะของหมอนรองกระดูก และข้อต่อกระดูกสันหลัง ในปัจจุบันก็มีนวัตกรรมในการรักษาที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด หรือกินยาเพื่อรักษาอาการนั่นคือ การรักษาด้วยการผ่านคลื่นความร้อนเป็นการรักษาด้วยการผ่านคลื่น Radio Wave เข้าไปเพื่อลดความดันบริเวณหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนมากดทับเส้นประสาท วิธีนี้จะไม่ทำลาย หรือเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อใกล้เคียง ข้อดีของการรักษานี้ก็คือ ไม่ต้องผ่าตัด ลดการสูญเสียเลือด ใช้เวลาในการรักษาน้อยเพียง 20-30 นาที คุณก็สามารถกลับบ้านได้ และใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติภายใน 1-2 วัน
แต่อย่ารอให้ถึงวันที่ต้องมารักษาแบบหนักเลยนะคะ รองเท้าที่เหมาะสมน่ะควรมี ส้นสูงประมาณ 1 นิ้ว เพื่อให้เฉลี่ยนํ้าหนักไปที่นิ้วโป้งและฝ่าเท้า และรองเท้าควรจะนุ่มจะได้ลดแรงที่เท้ากระแทกกับพื้นแล้วก็ไม่ต้องประชดชีวิตด้วยการใส่รองเท้าที่ไม่มีส้นซะเลยนะคะ นั่นก็ไม่ดีค่ะเพราะนํ้าหนักจะลงที่ส้นเท้าเต็มที่ อาจทำให้เกิดรองชํ้า แล้วปวดฝ่าเท้าและส้นเท้าอีก ก็ต้องไปรักษาอีกแบบ แต่ถ้าอดไม่ได้จริงๆ ต้องใส่ส้นสูงจริงๆ ก็มีเคล็ดลับเล็กๆ ให้ค่ะ คือ ทุก 2 ชั่วโมงให้พักลงจากส้น แล้วยืดเท้า stretching ให้กล้ามเนื้อคลายจากการเกร็ง ตกเย็นกลับบ้านก็แช่เท้าในนํ้าอุ่นให้เลือดไปเลี้ยง ไหลเวียนดี ก็จะช่วยถนอมสุขภาพเท้าและข้อได้บ้างนะคะ
ขอขอบคุณ
น.ต.นพ. ชัยพฤกษ์ ปั้นดี
ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระดูกสันหลัง และข้อ
ศูนย์กระดูกสันหลังและข้อ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
ที่กรุณาให้ข้อมูลสนับสนุนด้านการรักษา
น.ต.นพ. ชัยพฤกษ์ ปั้นดี
ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระดูกสันหลัง และข้อ
ศูนย์กระดูกสันหลังและข้อ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
ที่กรุณาให้ข้อมูลสนับสนุนด้านการรักษา
Hip Hip Hooray – สะโพกร่าเริง
เมื่อ 6-7 ปีที่แล้วมีข่าวฮือสะท้านวงการฮอลลิวู้ดว่า เจ โล หรือ Jennifer Lopez นักแสดงและนักร้องสาวมากความสามารถได้ทำประกัน “บั้นท้าย” ของเธอด้วยวงเงินสูงถึง 27 ล้านเหรียญ หรือ กว่า 80 ล้านบาทเลยทีเดียว
ไม่ต้องแปลกใจครับ ที่อเมริกานี่นอกจากประกันชีวิตแบบที่เรามีแล้ว เขายังมีการประกันอวัยวะต่างๆ ที่ช่วยให้เขาหาเลี้ยงชีพได้ด้วย อย่าง เดวิด เบ็คแฮม ยังประกันการเจ็บป่วยที่จะทำให้เขาต้องเลิกเล่นฟุตบอล (career-threatening injuries) ด้วยวงเงิน 151 ล้านเหรียญ หรือ กว่า 450 ล้านบาทเรียกว่าจัดเต็มเลยล่ะครับ เชื่อได้ว่าหนึ่งในการเจ็บป่วยของเขาต้องรวม เรื่องกระดูกสะโพกเข้าไว้ด้วยแน่นอน
แต่ที่เมืองไทยของเรานี่ อัตราของผู้ป่วยโรคข้อกระดูกสะโพกเสื่อมอาจจะดูน้อยนิดเมื่อเทียบกับโรคข้อเสื่อมอื่นๆ คือ โรคกระดูกสันหลังและเข่าเสื่อมก็ปาไปตั้ง 90% เข้าไปแล้ว โรคข้อสะโพกเสื่อมนี่เพิ่งจะ 0.8% ของโรคข้อเสื่อมทั้งหมด แต่ที่ไม่อยากบอกให้กลัวกันเลยก็คือ ข้อสะโพกเสื่อมนี่น่ะเจ็บปวดแสนสาหัสที่สุดเลยในจำนวนเสื่อมๆ ทั้งหมดนี้ล่ะครับ
โรคนี้ถ้าเป็นแล้วหมดสง่า เพราะจะทำให้ขาที่อยู่ด้านที่ข้อสะโพกมีปัญหานั้นสั้นลงหรือเหยียดงอไม่ได้ตามปกติ คือจะเดินเหินอะไรก็ไม่ปกติ ขาดความมั่นใจในชีวิต มีผลต่อจิตใจสูง ไม่ต้องคิดอะไรมากเลยกางเกงขาสั้นโชว์ขาสวยนี่ไม่ต้องพูดกันเลย
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ รศ.นพ.ประกิต เทียนบุญ ท่านเป็นศัลยแพทย์ด้านกระดูกสันหลัง และข้อที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โอย…ท่านให้ความรู้ผมมากมายเลยทีเดียว เรื่องข้อสะโพกนี่ เรียกว่าไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ต้องตกอกตกใจมากเกินไปการแก้ไขไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
ที่มาของโรคข้อสะโพกเสื่อม
• ความเสื่อมที่มากับอายุ จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ คือ ค่อยๆ สึก และเสื่อมไปเอง ไม่มีใครไปทำอะไร ซึ่งมักพบกับผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป คนไทยโชคดีกว่าฝรั่งเยอะในเรื่องนี้ เพราะการที่เราถูกอุ้มเข้าสะเอวตั้งแต่เด็กนี่ ใครจะไปเชื่อว่าเป็นการพัฒนาความสมดุลของเบ้าและข้อสะโพกให้ฟิตกันได้อย่างดี
• ความเสื่อมที่ติดตัวมาแต่เกิด อันนี้ก็เป็นโชคร้ายหน่อยครับ คือ เป็นการที่กระดูกไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เลย เช่น คุณแม่ไม่ได้ทานอาหารดีๆ ชอบสูบบุหรี่ และดื่มเหล้า ตลอดจนทานยาแก้ปวดเหล่านี้จะไปเบียดเบียนพัฒนาการของลูกทำให้เกิด hip dysplasia หรือ เบ้ากระดูกตื้นหรือ คอกระดูกข้อสะโพกตั้งขึ้นมากเกินไปจากปกติซึ่งจะประมาณ 45 องศา ทำให้พอโตขึ้นก็เสื่อมเร็ว ไม่เสื่อมไงไหว ก็มันขบกันจนเกินไป คิดง่ายๆ ฟันเราสบกันไม่ดีก็เคี้ยวอาหารไม่สะดวก ต้องแก้ไขใช่ไหมครับ แต่นี่เราแทบไม่รู้จนกระทั่งออกอาการล่ะครับ
• ความเสื่อมที่มีโรคหรือมีตัวกระตุ้นให้เกิดปัญหา พวกนี้จะเกิดขึ้นเร็วไม่เกี่ยวกับอายุ เช่น โรคข้อติดเชื้อ (septic hip) ทำให้มีหนองในข้อสะโพก เกาท์ (gout) และไขข้ออักเสบ (rheumatism) เป็นต้น มะเร็งและเนื้องอกก็เป็นตัวกระตุ้นแรงอีกตัว ที่ทำให้ข้อสะโพกเสื่อมเร็ว เพราะอาหารของผิวกระดูกอ่อนที่อยู่ตามข้อเรานี้คือ นํ้าในข้อของเรานี่ล่ะ ถ้านํ้านี่กลายเป็นกรดเพราะป่วยไป กระดูกอ่อนดูดซึม osmosis เข้าไปปุ๊บก็จะป่วยตามไปด้วย คิดง่ายๆ แบบนี้ล่ะครับ บางทีตัวเร่งคือพวกยา steroid ต่างๆ ที่เรารับประทานเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เช่น ยาลูกกลอน และยาแก้ปวด ที่หมอไม่ได้สั่งให้ทานพวกนี้จะทำให้เส้นเลือดอุดตันและข้อสะโพกก็จะเริ่มตาย กระดูกก็จะยุ่ยๆ และทรุดตัวลงไปในที่สุด ฟังๆ ดูก็สยองเหมือนกันนะครับ ผมว่าจะทานยาอะไรที่แรงๆ หรือแปลกๆ ก็ลองปรึกษาหมอก่อนดีมั้ย อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเลย
• ความเสื่อมที่มากับอุบัติเหตุ คือ หักหรือหลุด พวกนี้ก็ทำให้เลือดมาเลี้ยงกระดูกอ่อนได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผิวกระดูกบางลง ก็เหมือนเด็กที่ทานไม่อิ่มนั่นละครับ จะโตดีแข็งแรงได้ยากกว่าเด็กที่ทานอาหารดีๆ เต็มจาน
• ความเสื่อมที่ติดตัวมาแต่เกิด อันนี้ก็เป็นโชคร้ายหน่อยครับ คือ เป็นการที่กระดูกไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เลย เช่น คุณแม่ไม่ได้ทานอาหารดีๆ ชอบสูบบุหรี่ และดื่มเหล้า ตลอดจนทานยาแก้ปวดเหล่านี้จะไปเบียดเบียนพัฒนาการของลูกทำให้เกิด hip dysplasia หรือ เบ้ากระดูกตื้นหรือ คอกระดูกข้อสะโพกตั้งขึ้นมากเกินไปจากปกติซึ่งจะประมาณ 45 องศา ทำให้พอโตขึ้นก็เสื่อมเร็ว ไม่เสื่อมไงไหว ก็มันขบกันจนเกินไป คิดง่ายๆ ฟันเราสบกันไม่ดีก็เคี้ยวอาหารไม่สะดวก ต้องแก้ไขใช่ไหมครับ แต่นี่เราแทบไม่รู้จนกระทั่งออกอาการล่ะครับ
• ความเสื่อมที่มีโรคหรือมีตัวกระตุ้นให้เกิดปัญหา พวกนี้จะเกิดขึ้นเร็วไม่เกี่ยวกับอายุ เช่น โรคข้อติดเชื้อ (septic hip) ทำให้มีหนองในข้อสะโพก เกาท์ (gout) และไขข้ออักเสบ (rheumatism) เป็นต้น มะเร็งและเนื้องอกก็เป็นตัวกระตุ้นแรงอีกตัว ที่ทำให้ข้อสะโพกเสื่อมเร็ว เพราะอาหารของผิวกระดูกอ่อนที่อยู่ตามข้อเรานี้คือ นํ้าในข้อของเรานี่ล่ะ ถ้านํ้านี่กลายเป็นกรดเพราะป่วยไป กระดูกอ่อนดูดซึม osmosis เข้าไปปุ๊บก็จะป่วยตามไปด้วย คิดง่ายๆ แบบนี้ล่ะครับ บางทีตัวเร่งคือพวกยา steroid ต่างๆ ที่เรารับประทานเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เช่น ยาลูกกลอน และยาแก้ปวด ที่หมอไม่ได้สั่งให้ทานพวกนี้จะทำให้เส้นเลือดอุดตันและข้อสะโพกก็จะเริ่มตาย กระดูกก็จะยุ่ยๆ และทรุดตัวลงไปในที่สุด ฟังๆ ดูก็สยองเหมือนกันนะครับ ผมว่าจะทานยาอะไรที่แรงๆ หรือแปลกๆ ก็ลองปรึกษาหมอก่อนดีมั้ย อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเลย
• ความเสื่อมที่มากับอุบัติเหตุ คือ หักหรือหลุด พวกนี้ก็ทำให้เลือดมาเลี้ยงกระดูกอ่อนได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผิวกระดูกบางลง ก็เหมือนเด็กที่ทานไม่อิ่มนั่นละครับ จะโตดีแข็งแรงได้ยากกว่าเด็กที่ทานอาหารดีๆ เต็มจาน
รักษาได้ ไม่น่ากลัวอีกต่อไป
เมื่อก่อนนี้การรักษาโรคข้อสะโพกเสื่อมนี้ค่อนข้างน่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าตัด ที่เป็นการผ่าตัดใหญ่ สมัยก่อนนี้ผ่าทีมีแผลยาว 10-15 เซ็นติเมตรเลยทีเดียว ก็ครึ่งไม้บรรทัดละครับ พักฟื้นก็นานเอาการอยู่ แต่วันนี้ความน่ากลัวเหล่านั้น ถูกเปลี่ยนให้มาเป็นความสุข ด้วยเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ๆ ที่ทำให้รู้สึก as good as new การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกในปัจจุบัน ไม่ขึ้นอยู่กับอายุอีกต่อไปแล้วนะครับ แต่จะขึ้นอยู่กับการมีโรคประจำตัวบางชนิด และความสามารถของร่างกายที่จะทนต่อการผ่าตัดได้ แล้วแผลที่ผ่าตัดนี่ก็แค่ 4.5-5.5 เซ็นติเมตร เท่านั้นเอง
เล็กลงกว่าเดิม 3 เท่า ก็เป็นการผ่าตัดแบบ minimally invasive ล่ะครับ คือ แผลเล็ก เส้นเลือดและเนื้อเยื่อไม่ถูกทำลายมาก ก็ไม่ต้องเจ็บปวดอะไรมากมาย และเสียเลือดไปจริงๆ ก็ไม่เกิน 50 ซีซี แล้วก็ไม่ต้องไปถึงเมืองนอกเมืองนาหรอกครับ รศ.นพ.ประกิตนี่ละครับ ท่านสุดยอดแล้ว ท่านเป็นผู้พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกที่ได้แผลเล็กที่สุดในโลก ท่านเคยผ่าตัดข้อสะโพกเทียมที่ใส่ cement ยึดทั้งบนและล่าง โดยใช้เวลาเพียง 22 นาที มาแล้ว การผ่าตัดแผลเล็กของท่านน่ะมัน beyond minimally invasive ไปแล้วล่ะครับ
เล็กลงกว่าเดิม 3 เท่า ก็เป็นการผ่าตัดแบบ minimally invasive ล่ะครับ คือ แผลเล็ก เส้นเลือดและเนื้อเยื่อไม่ถูกทำลายมาก ก็ไม่ต้องเจ็บปวดอะไรมากมาย และเสียเลือดไปจริงๆ ก็ไม่เกิน 50 ซีซี แล้วก็ไม่ต้องไปถึงเมืองนอกเมืองนาหรอกครับ รศ.นพ.ประกิตนี่ละครับ ท่านสุดยอดแล้ว ท่านเป็นผู้พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกที่ได้แผลเล็กที่สุดในโลก ท่านเคยผ่าตัดข้อสะโพกเทียมที่ใส่ cement ยึดทั้งบนและล่าง โดยใช้เวลาเพียง 22 นาที มาแล้ว การผ่าตัดแผลเล็กของท่านน่ะมัน beyond minimally invasive ไปแล้วล่ะครับ
พวกข้อกระดูกเทียมที่นำมาใส่ให้ใหม่ก็มีหลายแบบ ตั้งแต่ พลาสติกแข็ง เซรามิก ไปจนถึงโลหะ ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็น Titanium และ Cobalt-chromium alloy แล้ว ซึ่งจะเคลือบด้วย hydroxyapatite ที่จะช่วยให้กระดูกยึดติดเองได้ดี จริงๆ แล้วมีโลหะตัวใหม่ด้วยคือ Tantalum ซึ่งจะถักทอให้เหมือนกระดูก และกรอปรับแต่งให้รูปร่างให้เหมือนกระดูกเราได้เป๊ะเลย เพื่อที่กระดูกจะยึดได้เหมือนเนื้อเดียวกันไปเลย แต่ขณะนี้ยังต้องพัฒนาต่อไปอีกสักหน่อย
เวลาผ่าตัดเปลี่ยนข้อพวกนี้ต้องอาศัยความแม่นยำแบบ NANOS Technic (Natural Anatomy Navigate Orthopedic Surgery) คือ เอาจุดต่างๆ ของร่างกายมาเป็นตัวชี้นำก็ human precision ล่ะครับอันนี้ พูดง่ายๆ เครื่องมือก็ช่วยได้ระดับหนึ่งแต่คุณหมอต้องแม่น เพราะจะใส่ข้อใหม่ทั้งที ใส่ลึกไป ตื้นไป องศาไม่พอดี ก็มีปัญหาอีก
หลังผ่าตัดอย่าเพิ่งเริงร่า
ถึงแม้ว่าการผ่าตัดจะไม่น่ากลัวแล้ว และคนไข้ก็สามารถเดินปร๋อได้ใน 1-3 วันหลังผ่าตัด แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวในช่วง 3 เดือนแรกก่อนนะครับ ก็อย่างว่าล่ะ ใส่ของใหม่เข้าไปก็ต้องมีการปรับตัวกันนิดนึง ไม่มีอะไรมาก แต่ควรระวังดังนี้ครับ
• อย่าเผลอหมุนขาเข้าใน หรือ งอเยอะๆ เพราะอาจทำให้ข้อที่ใส่ใหม่นี้หลุดได้
• เวลานอนก็บิดปลายเท้าออกนะครับ
• เวลานอนตะแคงก็เอาหมอนหนาๆ 2-3 ใบมาแทรกเป็นหมอนข้างไปก่อนนะครับ
• เดินนั่งก็ทำได้ปกติ เวลาเดินก็เดินตามปกติ ไม่มีอะไรน่ากลัว
• 2 อาทิตย์แรกก็อย่าหักโหม อยู่ติดบ้านหน่อยก็จะดี หลังจากนั้นก็เริ่มทานข้าวนอกบ้านได้ ผ่านไป 1 เดือน ก็เริ่ม shopping ได
้
ยังไงหลังผ่าตัดแล้วก็ต้องมาเช็คกันดูอีกสักนิดว่า เดินดีหรือยัง ต้องฝึกกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นหรือไม่เพราะบางคนกว่าจะมาผ่าตัด กล้ามเนื้อก็ลีบเหี่ยวไปเยอะแล้ว ต้องมาฝึกกล้ามเนื้อกันใหม่ จะได้ทดสอบว่ากล้ามเนื้อแข็งแรงไหม จะได้เดินสวยๆ X-ray ซักนิด ตอนพบแพทย์หลัง 1 เดือน จะได้รู้ว่ากระดูกกับข้อต่อสะโพกติดกันดีหรือยัง ถ้าติดดีแล้วหมอคงให้เดินฉลุยได้เลย พอครบ 3 เดือนแล้ว ที่เคยต้องเดินแปลกๆ หนุนหมอนข้างเวลานอนก็เลิกไปได้เลย เพราะการผ่าตัดจะเป็นการผ่าจากด้านหลัง ดังนั้นพอแผลที่เนื้อหายสนิทก็จะไม่เกิดขึ้นอีก
• เวลานอนก็บิดปลายเท้าออกนะครับ
• เวลานอนตะแคงก็เอาหมอนหนาๆ 2-3 ใบมาแทรกเป็นหมอนข้างไปก่อนนะครับ
• เดินนั่งก็ทำได้ปกติ เวลาเดินก็เดินตามปกติ ไม่มีอะไรน่ากลัว
• 2 อาทิตย์แรกก็อย่าหักโหม อยู่ติดบ้านหน่อยก็จะดี หลังจากนั้นก็เริ่มทานข้าวนอกบ้านได้ ผ่านไป 1 เดือน ก็เริ่ม shopping ได
้
ยังไงหลังผ่าตัดแล้วก็ต้องมาเช็คกันดูอีกสักนิดว่า เดินดีหรือยัง ต้องฝึกกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นหรือไม่เพราะบางคนกว่าจะมาผ่าตัด กล้ามเนื้อก็ลีบเหี่ยวไปเยอะแล้ว ต้องมาฝึกกล้ามเนื้อกันใหม่ จะได้ทดสอบว่ากล้ามเนื้อแข็งแรงไหม จะได้เดินสวยๆ X-ray ซักนิด ตอนพบแพทย์หลัง 1 เดือน จะได้รู้ว่ากระดูกกับข้อต่อสะโพกติดกันดีหรือยัง ถ้าติดดีแล้วหมอคงให้เดินฉลุยได้เลย พอครบ 3 เดือนแล้ว ที่เคยต้องเดินแปลกๆ หนุนหมอนข้างเวลานอนก็เลิกไปได้เลย เพราะการผ่าตัดจะเป็นการผ่าจากด้านหลัง ดังนั้นพอแผลที่เนื้อหายสนิทก็จะไม่เกิดขึ้นอีก
แค่นี้สะโพกที่มีปัญหาก็ร่าเริงได้ไม่น่ากลัวอีกต่อไป ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการบริหารให้สะโพกสบึมกันแล้วล่ะครับ ผมก็ต้องขอขอบคุณรศ.นพ.ประกิต เทียนบุญ อีกครั้งล่ะครับสำหรับข้อมูลดีๆ สำหรับผู้อ่านไอเกิลครับ
รอยช้ำ…เจ็บแปร๊บๆทุกย่างก้าว เป็นอะไรกันแน่
สาเหตุของการเจ็บที่บริเวณใต้ ฝ่าเท้าหรือส้นเท้า เกิดจากการอักเสบของพังผืดที่ใต้ฝ่าเท้าที่เ รียกว่า Plantar fasciitis มีการประมาณว่าในแต่ละปีจะมีคนที่ต้องรักษาภาวะนี้ในสหรัฐประมาณ 2 ล้านคน สาเหตุเกิดจากพังผืดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ที่ทำหน้าที่คอยพยุงโค้งใต้ฝ่าเท้าเกิดการอักเสบหรือมีการระคายเคืองขึ้น
มารู้จักลักษณะของพังผืดที่ฝ่าเท้าก่อน
จากภาพจะเห็นว่า เส้นเอ็นจากแต่ละนิ้วจะมารวมกันตรงกลางฝ่าเท้า กลายเป็นแผ่นหนาๆ อยู่ใต้ฝ่าเท้า และไปสิ้นสุดที่กระดูกส้นเท้า ทำหน้าที่คอยพยุงโค้งของฝ่าเท้าเอาไว้
จากภาพจะเห็นว่า เส้นเอ็นจากแต่ละนิ้วจะมารวมกันตรงกลางฝ่าเท้า กลายเป็นแผ่นหนาๆ อยู่ใต้ฝ่าเท้า และไปสิ้นสุดที่กระดูกส้นเท้า ทำหน้าที่คอยพยุงโค้งของฝ่าเท้าเอาไว้
สาเหตุของอาการเจ็บ
พังผืดที่ใต้ฝ่าเท้ามีหน้าที่คอยรองรับแรงกระแทกเวลาที่เราก้าวเดิน แต่บางครั้งแรงกดดันที่มากเกินไปอาจจะทำให้มีการทำลาย หรือมีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อร่างกายจะตอบสนองต่อการบาดเจ็บนี้โดยเกิดการอักเสบขึ้น ทำให้มีอาการเจ็บและตึงที่ใต้ฝ่าเท้า
พังผืดที่ใต้ฝ่าเท้ามีหน้าที่คอยรองรับแรงกระแทกเวลาที่เราก้าวเดิน แต่บางครั้งแรงกดดันที่มากเกินไปอาจจะทำให้มีการทำลาย หรือมีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อร่างกายจะตอบสนองต่อการบาดเจ็บนี้โดยเกิดการอักเสบขึ้น ทำให้มีอาการเจ็บและตึงที่ใต้ฝ่าเท้า
ปัจจัยเสี่ยง
ผู้ที่มีอาการส่วนใหญ่ จะไม่ทราบว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร อย่างไรก็ตาม มีหลายปัจจัยที่ทำให้มีความเสี่ยงต่ออาการนี้ ได้แก่
ผู้ที่มีอาการส่วนใหญ่ จะไม่ทราบว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร อย่างไรก็ตาม มีหลายปัจจัยที่ทำให้มีความเสี่ยงต่ออาการนี้ ได้แก่
• กล้ามเนื้อน่องที่มีอาการตึงเกินไปเนื่องจากขาดการยืดหยุ่นที่ดี
• ความอ้วน
• โค้งฝ่าเท้าที่ใหญ่ผิดปกติ
• การเดินมาก หรือวิ่งมากเกินไป
• มีกิจกรรมประจำวันที่เพิ่มมากขึ้นหรือเป็นกิจกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน
• ความอ้วน
• โค้งฝ่าเท้าที่ใหญ่ผิดปกติ
• การเดินมาก หรือวิ่งมากเกินไป
• มีกิจกรรมประจำวันที่เพิ่มมากขึ้นหรือเป็นกิจกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน
กระดูกงอกที่ส้นเท้า Heel Spurs
ถึงแม้ว่าหลายๆ คนที่มีการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้าจะมี กระดูกงอกที่ส้นเท้า แต่ตัวกระดูกนี้ก็ไม่ได้ทำให้มีอาการเจ็บ ประมาณ 1 ใน 10 ของคนทั่วไปจะมีกระดูกงอก แต่มีเพียง 5% ของคนที่มีกระดูกงอกนี้ แล้วมีอาการเจ็บฝ่าเท้า ดังนั้น ถึงแม้จะตรวจพบว่ามีกระดูกงอกนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออก
ถึงแม้ว่าหลายๆ คนที่มีการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้าจะมี กระดูกงอกที่ส้นเท้า แต่ตัวกระดูกนี้ก็ไม่ได้ทำให้มีอาการเจ็บ ประมาณ 1 ใน 10 ของคนทั่วไปจะมีกระดูกงอก แต่มีเพียง 5% ของคนที่มีกระดูกงอกนี้ แล้วมีอาการเจ็บฝ่าเท้า ดังนั้น ถึงแม้จะตรวจพบว่ามีกระดูกงอกนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออก
อาการที่พบได้ในคนที่มีพังผืดอักเสบ ได้แก
• มีอาการเจ็บที่บริเวณใกล้ส้นเท้า
• มีอาการเจ็บมาก เมื่อเดินสองสามก้าวแรกหลังตื่นนอน หรือหลังจากนั่งรถนาน ๆ อาการเจ็บจะดีขึ้นไม่กี่นาทีหลังจากเริ่มเดิน
• อาการปวดเป็นมากขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย (แต่เวลาออกกำลังอาจยังไม่เจ็บ)
• มีอาการเจ็บที่บริเวณใกล้ส้นเท้า
• มีอาการเจ็บมาก เมื่อเดินสองสามก้าวแรกหลังตื่นนอน หรือหลังจากนั่งรถนาน ๆ อาการเจ็บจะดีขึ้นไม่กี่นาทีหลังจากเริ่มเดิน
• อาการปวดเป็นมากขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย (แต่เวลาออกกำลังอาจยังไม่เจ็บ)
การตรวจร่างกาย
เมื่อได้เล่าประวัติและอาการให้แพทย์ฟัง แพทย์จะทำการตรวจเพื่อดูลักษณะต่อไปนี้:
• ดูลักษณะของโค้งใต้ฝ่าเท้า
• ตำแหน่งที่มีอาการกดเจ็บมากที่สุด
• อาการปวดเป็นมากขึ้นเมื่อคุณกระดกเท้า และแพทย์กดบริเวณพังผืดใต้ฝ่าเท้า เมื่อเหยียดชี้เท้าลงอาการปวดจะดีขึ้น
เมื่อได้เล่าประวัติและอาการให้แพทย์ฟัง แพทย์จะทำการตรวจเพื่อดูลักษณะต่อไปนี้:
• ดูลักษณะของโค้งใต้ฝ่าเท้า
• ตำแหน่งที่มีอาการกดเจ็บมากที่สุด
• อาการปวดเป็นมากขึ้นเมื่อคุณกระดกเท้า และแพทย์กดบริเวณพังผืดใต้ฝ่าเท้า เมื่อเหยียดชี้เท้าลงอาการปวดจะดีขึ้น
การตรวจอื่นๆ
แพทย์อาจส่งตรวจ X-rays เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสาเหตุอื่นที่ทำให้มีอาการเจ็บฝ่าเท้า
แพทย์อาจส่งตรวจ X-rays เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสาเหตุอื่นที่ทำให้มีอาการเจ็บฝ่าเท้า
การรักษาและการดูแล
มากกว่า 90% ของคนป่วย จะมีอาการดีขึ้นภายใน10 เดือน โดยการรักษาง่ายๆ คือ การพักการใช้งาน โดยลดกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บขึ้น เช่น การวิ่งหรือการเต้นแอโรบิก การใช้นํ้าแข็งประคบหรือแช่นํ้าเย็นประมาณ 20 นาที โดยอาจใช้วิธีนี้ประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน การให้ยาลดการอักเสบของพังผืด เช่น ยา ibuprofen หรือยา naproxen ซึ่งจะช่วยลดอาการเจ็บและลดการอักเสบของพังผืด แต่ถ้าใช้ยาติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ การบริหารยืดกล้ามเนื้อ เนื่องจากอาจมีอาการตึงของกล้ามเนื้อน่อง จึงควรบริหารด้วยการยืดกล้ามเนื้อ จะช่วยลดอาการได้มาก
มากกว่า 90% ของคนป่วย จะมีอาการดีขึ้นภายใน10 เดือน โดยการรักษาง่ายๆ คือ การพักการใช้งาน โดยลดกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บขึ้น เช่น การวิ่งหรือการเต้นแอโรบิก การใช้นํ้าแข็งประคบหรือแช่นํ้าเย็นประมาณ 20 นาที โดยอาจใช้วิธีนี้ประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน การให้ยาลดการอักเสบของพังผืด เช่น ยา ibuprofen หรือยา naproxen ซึ่งจะช่วยลดอาการเจ็บและลดการอักเสบของพังผืด แต่ถ้าใช้ยาติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ การบริหารยืดกล้ามเนื้อ เนื่องจากอาจมีอาการตึงของกล้ามเนื้อน่อง จึงควรบริหารด้วยการยืดกล้ามเนื้อ จะช่วยลดอาการได้มาก
• การยืดกล้ามเนื้อน่อง Calf stretch ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง วางเท้าข้างหนึ่งอยู่ด้านหน้าและงอเข่าเล็กน้อย ขาอีกข้างอยู่ด้านหลังและเหยียดตรง พยายามดันสะโพกไปด้านหน้าเข้าหากำแพง จะรู้สึกยืดตรงที่น่องของขาหลัง ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที และให้ทำท่านี้ 20 รอบ
• การยืดพังผืดฝ่าเท้า Plantar fascia stretch ให้นั่งไขว่ห้าง เอาเท้าข้างที่เจ็บขึ้นมา แล้วกำนิ้วเท้าข้างที่เจ็บ และดึงเข้าหาตัว ให้รู้สึกฝ่าเท้ายืดออก ประมาณ 10 วินาที และให้ทำ 20 รอบ ท่านี้จะดีถ้าทำในตอนเช้าก่อนที่จะยืนหรือเดิน หรืออาจนั่งเหยียดขาใช้ผ้าพันรอบปลายเท้า แล้วดึงเข้าหาตัว
• การฉีดยาเข้าบริเวณที่อักเสบ ในบางครั้งจะใช้ยาฉีดเข้าไปเฉพาะที่ เพื่อลดอาการเจ็บและลดการอักเสบโดยการฉีดยากลุ่ม steroid ควรจะต้องทำโดยแพทย์กระดูก และไม่ควรฉีดหลายๆ ครั้งเพราะอาจทำให้มีการขาดของผังพืดได้ ซึ่งจะทำให้กลายเป็น เท้าแบน flat food และทำให้มีอาการเจ็บเรื้อรังได้
• การใส่อุปกรณ์ช่วย support รองเท้าที่ส้นหนาขึ้นและมีแผ่นลดแรงกระแทกจะช่วยลดอาการเจ็บเวลายืนหรือเดินได้ เนื่องจากการยืดหรือเดินบนพื้นรองเท้าที่แข็งๆ จะทำให้เกิดการฉีกขาดแบบเล็กๆ ที่พังผืดได้ การใส่ ซิลิโคน นุ่มๆ รองไว้ในรองเท้าก็ใช้ได้แถมราคายังไม่ค่อยแพง แต่บางคนก็อาจจะต้องสั่งตัดอุปกรณ์เสริมรองเท้าเพื่อการรักษา
• การใส่อุปกรณ์ยึดข้อเท้าในเวลากลางคืน หลายคนในขณะหลับจะมีลักษณะปลายเท้าที่ชี้ลง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการที่เป็นมากขึ้นตอนเช้า ในบางรายอาจจะต้องใส่อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันลักษณะดังกล่าว แต่ก็อาจจะรำคาญเวลานอนได้เช่นกัน
• การทำกายภาพบำบัด ในบางรายแพทย์จะแนะนำให้ทำกายภาพบำบัด เพื่อยืดกล้ามเนื้อน่องและยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้า นอกจากนี้ยังอาจจะใช้การนวด อุปกรณ์อื่นและให้ยาเพื่อช่วยลดอาการอักเสบ
• การผ่าตัด แพทย์จะแนะนำให้เลือกการผ่าตัดหากการรักษาข้างต้นไม่สามารถทำให้อาการดีขึ้นใน 12 เดือน ลองปรึกษาแพทย์ผ่าตัดเรื่องวิธีการต่างๆ ของการผ่าตัด
• การยืดพังผืดฝ่าเท้า Plantar fascia stretch ให้นั่งไขว่ห้าง เอาเท้าข้างที่เจ็บขึ้นมา แล้วกำนิ้วเท้าข้างที่เจ็บ และดึงเข้าหาตัว ให้รู้สึกฝ่าเท้ายืดออก ประมาณ 10 วินาที และให้ทำ 20 รอบ ท่านี้จะดีถ้าทำในตอนเช้าก่อนที่จะยืนหรือเดิน หรืออาจนั่งเหยียดขาใช้ผ้าพันรอบปลายเท้า แล้วดึงเข้าหาตัว
• การฉีดยาเข้าบริเวณที่อักเสบ ในบางครั้งจะใช้ยาฉีดเข้าไปเฉพาะที่ เพื่อลดอาการเจ็บและลดการอักเสบโดยการฉีดยากลุ่ม steroid ควรจะต้องทำโดยแพทย์กระดูก และไม่ควรฉีดหลายๆ ครั้งเพราะอาจทำให้มีการขาดของผังพืดได้ ซึ่งจะทำให้กลายเป็น เท้าแบน flat food และทำให้มีอาการเจ็บเรื้อรังได้
• การใส่อุปกรณ์ช่วย support รองเท้าที่ส้นหนาขึ้นและมีแผ่นลดแรงกระแทกจะช่วยลดอาการเจ็บเวลายืนหรือเดินได้ เนื่องจากการยืดหรือเดินบนพื้นรองเท้าที่แข็งๆ จะทำให้เกิดการฉีกขาดแบบเล็กๆ ที่พังผืดได้ การใส่ ซิลิโคน นุ่มๆ รองไว้ในรองเท้าก็ใช้ได้แถมราคายังไม่ค่อยแพง แต่บางคนก็อาจจะต้องสั่งตัดอุปกรณ์เสริมรองเท้าเพื่อการรักษา
• การใส่อุปกรณ์ยึดข้อเท้าในเวลากลางคืน หลายคนในขณะหลับจะมีลักษณะปลายเท้าที่ชี้ลง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการที่เป็นมากขึ้นตอนเช้า ในบางรายอาจจะต้องใส่อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันลักษณะดังกล่าว แต่ก็อาจจะรำคาญเวลานอนได้เช่นกัน
• การทำกายภาพบำบัด ในบางรายแพทย์จะแนะนำให้ทำกายภาพบำบัด เพื่อยืดกล้ามเนื้อน่องและยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้า นอกจากนี้ยังอาจจะใช้การนวด อุปกรณ์อื่นและให้ยาเพื่อช่วยลดอาการอักเสบ
• การผ่าตัด แพทย์จะแนะนำให้เลือกการผ่าตัดหากการรักษาข้างต้นไม่สามารถทำให้อาการดีขึ้นใน 12 เดือน ลองปรึกษาแพทย์ผ่าตัดเรื่องวิธีการต่างๆ ของการผ่าตัด
ยังไงก็ลองมาปรึกษากันก่อนได้นะครับ อาจไม่ได้เป็นมากอย่างที่คุณคิด
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
กินกล้วยเพิ่มความสุข
เข้าใจผิดกันมากกว่าการกินกล้วยตอนท้องว่างทำให้เกิดโรค จริงๆแล้วการกินกล้วยตอนท้องว่างนั้นแหละที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มากขึ้น ในวัยเด็กเรากินกล้วยน้ำว้าเป็นอาหารเสริม เพราะย่อยง่ายและช่วยการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ เมื่อโตขึ้นกล้วยก็ยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารจำเป็นต่อร่างกาย อย่างโพเทสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ ที่สำคัญ ยังมีสารทริปโตเฟนที่ร่างกายจะนำไปสร้างเซโรโทนินหรือสารแห่งความสุขอีกด้วย กล้วย โดยเฉพาะกล้วยหอมจึงกลายเป็นผลไม้ที่ช่วยลดความเครียดแก่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี แต่เพราะกล้วยหอมมีรสหวาน การรับประทานมื้อละผลจึงเป็นปริมาณที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงควรลดปริมาณลงเป็นวันละผลจะดีต่อสุขภาพค่ะ ฝ่ายโภชนาการ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท นำข้อมูลมาจาก Health Cusine - Health Body |
สนใจสอบถามรายละเอียด Call Center : 0 2177 8000 |
ปัญหาหนักอก หรือที่ถูกคงต้องบอกว่า "หนักเอว" ของผู้หญิงหลายคนคือ เรื่องอ้วน บางคนท้อใจกับการวนเวียนออก (กำลัง) และอด (อาหาร) แต่ลดน้ำหนักไม่ลง หรือบางคนดูภายนอกเหมือนจะดูรูปร่างดี แต่เจ้าตัวรู้ว่าไม่ฟิต ไม่เฟิร์ม แถมมีพุงอีกต่างหาก องค์ประกอบร่างกายบอกอะไร การรู้สัดส่วนขององค์ประกอบร่างกาย ไม่ใช่เพื่อตรวจรักษาแต่เป็นอีกหนทางหนึ่ง ที่ใช้ในมาตรการระวังป้องกันสุขภาพ ช่วยคัดกรองภาวะเสี่ยงว่าสุขภาวะของคุณกำลังมีความเสี่ยงของโรคใด เพราะการตรวจองค์ประกอบร่างกายไม่ได้บอกแค่ไขมัน แต่ยังมีอีกหลายอย่าง เช่น องค์ประกอบของน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ความสมดุลของปริมาณน้ำในร่างกาย โดยแยกส่วนและสภาวะโดยรวม สัดส่วนของกล้ามเนื้อและไขมัน ซึ่งโดยทั่วไปเรามักรู้จักไขมันตรงส่วนรอบเอว หน้าท้อง หรือแขน ขา แต่ยังมีไขมันในช่องท้อง ซึ่งจะหายไปได้โดยเร็วถ้ามีการออกกำลัง การประเมินภาวะทางโภชนาการ เช่น ปริมาณโปรตีน แร่ธาตุต่างๆ ภาวะโรคอ้วน โดยการวัดดัชนีมวลกาย เปอร์เซ็นต์ไขมัน และเส้นรอบวงของทุกส่วนของร่างกายสุดท้ายคือประเมินความสมดุลและความแข็งแรงของร่างกายออกมาเป็นคะแนน "เอ๋" ที่แม้รูปร่างสมส่วนเกิดอาการไม่มั่นใจเหมือนกันว่าการออกกำลังกายตามความชอบที่ทำอยู่ถูกต้องดีพอหรือยัง เมื่อมีโอกาสไปฉีดวัคซีนป้องกันไขัหวัดใหญ่จึงพกคำถามไปหา นายแพทย์นรินทร สุรสินธน ที่โรงพยาบาลสมิติเวชเสียเลย เนื่องจากได้ข่าวว่าที่นี่มีเครื่องมือวัดองค์ประกอบร่างกาย (InBody หรือ Body Composition Analyser)ที่สามารถเห็นกันจะจะเลยว่า ภายใต้เอว 26 สะโพก 36 นั้น เฟิร์มจริงหรือไม่ ภาวะอ้วนแอบแฝง ทุกๆ 10 ปีกล้ามเนื้อเราจะหายไป 5 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งถ้าไม่ออกกำลังกายเพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้อก็จะเจอ ภาวะที่อายุมากขึ้น กินเท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำแต่กลับอ้วน หรือน้ำหนักอาจจะปกติแต่มีกล้ามเนื้อน้อยกว่าไขมัน ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างคนที่น้ำหนักเท่ากัน คนหนึ่งมีล้ามเนื้อมาก คนหนึ่งมีไขมันมาก ถ้าสองคนนี้กินอาหารแคลอรีเท่ากัน คนที่กล้ามเนื้อมากจะเผาผลาญได้ดีกว่าจึง อ้วนยากกว่าหรือบางคนที่คิดว่าน้ำหนักตัวได้มาตรฐานไม่เกินเกณฑ์แล้วนิ่งนอน ใจ ความจริงอาจอยู่ในภาวะอ้วนแอบแฝงหรืออ้วนซ่อนเร้น เช่นผอมแต่ลงผุงก็ได้การตรวจเช็คองค์ประกอบร่างกายนอกจาก จะรู้ว่าหุ่นเราดีจริงหรือหลอก ยังบอกได้ถึงปริมาณ เกลือแร่ โปรตีน ไขมัน กล้ามเนื้อ กระดูก น้ำ รวม | |
ทั้งภาวะทางโภชนาการว่ามีความสมดุลหรือไม่หรือมีแนวโน้มจะนำพาไปสู่โรคอะไร ข้อมูลจากการตรวจเช็คจะทำให้รู้ว่าต้องไปพบแพทย์หรือขอคำปรึกษาจากโภชนากรหรือเทรนเนอร์ออกกำลังกาย สำหรับผลตรวจของ"เอ๋" ด้วยอายุ 26 ปี น้ำหนัก 53.8 และส่วนสูง 165 ถ้าอยากเพิ่มน้ำหนักควรเพิ่มจากกล้ามเนื้อซึ่งจะไม่ทำให้อ้วน ไขมันในช่องท้องไม่มาก ถึงกล้ามเนื้อน้อยไปนิด แต่เมื่อน้ำหนักไม่มาก ไขมันจึงยังไม่เกินเกณฑ์ ดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ดี แต่อีก 3-4 ปี ถ้าไม่ออกกำลังกายหรือไม่สร้างกล้ามเนื้อมีโอกาสที่ไขมันจะสูงได้ กล้ามเนื้อขาเฟิร์มไม่เหลวเละ (จนคุณหมอแปลกใจ) อาจมาจากการออกกำลังเฉพาะขา คะแนนรวม 76 จาก 100 ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์รับได้ ลดอ้วน สร้างกล้ามเนื้อ เทคนิคสร้างสวยสุขภาพดี ผู้หญิงทุกคนรู้ว่าจะมีรูปร่างดีต้องคุมอาหาร ออกกำลัง แต่มักไปไม่ถึงการกระทำ เช่นรู้ว่าควรลดน้ำหนักสัก 5 กิโล แต่ไม่รู้ว่าจะจัดการตัวเองให้ไปถึงเป้าหมายอย่างไร หากต้องการลดน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม สำรวจดูว่าแต่ละวันดื่มน้ำหวานบ้างหรือไม่ ถ้าดื่มเป็นนิสัยให้ตัดออกแค่วันละ 1 แก้ว ถือว่าตัดไปแล้ว 300 กิโลแคลอรี แค่ออกกำลังกายเผาผลาญอีก 200 กิโลแคลอรี ก็จะไม่เป็นการเหลือบ่ากว่าแรง ควบคู่กับออกกำลังแบบสร้างกล้ามเนื้อ ที่ต้องเน้นเพราะการออกกำลังมีสองออย่างคือ การออกกำลังเพื่อเผาผลาญแคลอรี ประเภทที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เช่น การปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ฯลฯ ส่วนอีกแบบ คือ การออกกำลังเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เล่นเวท ซึ่งหลักการคือทำให้กล้ามเนื้อ บาดเจ็บแล้วร่างกายจะใช้โปรตีนไปสร้างกล้ามเนื้อ จึงต้องกินโปรตีนที่มีประโยชน์ เช่น เนื้อปลาหรือเนื้อไม่ติดมัน นมไร้ไขมัน หรือนมถั่วเหลืองแบบไม่หวาน ไข่ขาว เต้าหู้ ฯลฯ ฝันที่อยากมีหุ่นดีจะได้เป็นจริงสักที บทสัมภาษ์โดย: นายแพทย์นรินทร สุรสินธน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชปฎิบัติทั่วไป โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท |
ศูนย์ปลูกถ่ายไขกระดูก : ความสำเร็จที่ช่วยคืนชีวิตและสานฝันให้น้อง
นับเป็นอีกหนึ่งความหวังของผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคธาลัสซีเมีย โรคไขกระดูกฝ่อ และโรคพันธุกรรมทางเม็ดโลหิตต่างๆ ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ในอดีต แต่วันนี้ด้วยศักยภาพความพร้อมของโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ สามารถประสบความสำเร็จในการนำวิทยาการปลูกถ่ายไขกระดูกมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยเด็กจนสามารถกลับไปมีชีวิตได้เป็นปกติแล้วถึง14 ราย พร้อมกันนี้ยังได้จัดตั้งกองทุน New Life เพื่อเป็นศูนย์กลางให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กที่ต้องการการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวแต่ขาดทุนทรัพย์ด้วย ผู้สนใจหรือต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมที่ ศูนย์ปลูกถ่ายไขกระดูก โลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็ก โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โทร. 0-2378-9000 หรือที่ www.samitivejhospitals.com
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ออกกำลังวันละนิด ช่วยพิชิตพุงได้
ออกกำลังวันละนิด ช่วยพิชิตพุงได้ ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าอยากออกกำลังกายลดไขมันหน้าท้อง เพียงแต่ควรเป็นแบบ Cardio Exercise ได้แก่ เต้นแอโรบิก ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เดินเร็ว เดินในน้ำ เดินป่า ปีนเขา ขึ้นกับความเหมาะสมของแต่ละคน วันละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ นอกจากช่วยเรื่องของการลดน้ำหนัก และรอบเอวให้ลดลงแล้ว ยังช่วยเรื่องการสูบฉีดเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรงอีกด้วย นอกจากนี้บางรายอาจเสริมด้วยการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง* เพื่อสร้างกล้ามเนื้อแทนที่ไขมัน ซึ่งควรบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องให้ได้ทั้ง 3 ส่วน คือ ส่วนบน ส่วนล่าง และด้านข้าง อย่างละ 15 ครั้งเป็นอย่างน้อย
เพื่อผลลัพธ์ที่ดี การออกกำลังกายควรทำควบคู่กับการมีโภชนาการที่ดี เพราะถ้ายังลดน้ำหนักไม่ได้ รอบเอวของคุณก็จะไม่มีทางเล็กลงโดยการบริหารหน้าท้องเพียงอย่างเดียว
*ท่าออกกำลังกายขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ หรือรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนบน
ใช้วิธี sit up แต่ไม่ต้องยกศีรษะขึ้นมาสูงจนถึงเข่า แค่ผงกศีรษะให้ท้องส่วนบนเกร็งก็พอ
กล้ามเนื้อท้องส่วนล่าง
ให้นอนหงาย ยกขาสองข้างขึ้นลง จะรู้สึกเกร็งตรงท้องส่วนบน เมื่อยต้นขาเล็กน้อย ถ้าเริ่มหัดใหม่ๆยังไม่ต้องยกลำตัวขึ้นมา ให้นอนราบยกขาสองข้างเท่านั้นพอ
กล้ามเนื้อด้านข้าง
ทำคล้าย sit up แต่ให้สลับขาขึ้นมาทีละข้างด้วย เวลาที่ยกขาซ้ายขึ้น ก็ให้ยกตัวขึ้นศอกขวาไปแตะเข่าซ้ายนั้น อีกข้างก็ทำสลับกัน
เพื่อผลลัพธ์ที่ดี การออกกำลังกายควรทำควบคู่กับการมีโภชนาการที่ดี เพราะถ้ายังลดน้ำหนักไม่ได้ รอบเอวของคุณก็จะไม่มีทางเล็กลงโดยการบริหารหน้าท้องเพียงอย่างเดียว
*ท่าออกกำลังกายขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ หรือรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
เมตาบอลิคซินโดรม ภัยเงียบที่แฝงมากับความอ้วน
รู้กันหรือไม่ว่า ยิ่งรอบเอวเรายิ่งขยาย ร่างกายของเราจะยิ่งแย่ ในโลกสมัยใหม่ทุกวันนี้ 1 ใน 4 ของประชากรในประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมทั้งในประเทศไทย กำลังเผชิญกับภาวะเมตาบอลิคซินโดรม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมะเร็งบางชนิด โดยพบว่าเมตาบอลิคซินโดรมมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับคนที่มีปัญหาน้ำหนักเกิน หรือคนที่มีปัญหาอ้วนลงพุง ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่ามีโรคแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดขึ้น ก็มักกลายเป็นโรคเรื้อรังที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตแล้ว
Metabolic Syndrome เรื่องเดียว เกี่ยวพันไปหลายโรค
เคยได้ยินคำว่าเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า? เมตาบอลิคซินโดรมก็เข้าข่ายนั้นเช่นกัน เพราะเมตาบอลิคซินโดรม (Metabolic Syndrome) คืออาการผิดปกติที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานในร่างกายไม่สมบูรณ์ โดยปกติอาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด รออินซูลินพาเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน คนที่มีปัญหาลงพุงจะมีเซลล์ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น ทำให้กรดไขมันหลั่งเข้ามาสู่กระเลือดมากขึ้น มีผลทำให้การเผาผลาญน้ำตาลกูลโคสลดลง ร่างกายจึงไม่สามารถดึงน้ำตาลในเลือดมาใช้ เกิดการคั่งในกระแสเลือด จนทำลายระบบหลอดเลือด และระบบปลายประสาท ขณะที่ฮอร์โมน adiponectin ในกระแสเลือดกลับลดลง ทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลินมากขึ้น
เมตาบอลิค ซินโดรม เรื่องเดียวจึงมีผลต่อระบบหลอดเลือดแทบทุกส่วนอวัยวะ เช่น มีผลต่อหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจได้ง่าย มีผลต่อไต ทำให้ไตขับเกลือน้อยลง ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง ไตวาย มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงเป็นผลให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน เลือดมีภาวะแข็งตัวง่ายทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดสมองหรือหัวใจ มีผลต่อตับทำให้ไขมันคั่งในตับ ขณะที่ภาวะดื้อต่ออินซูลินมีผลต่อการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งโรคเหล่านี้อาจต้องกินยาประคับประคองและพบแพทย์ตลอดชีวิต
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้หญิงอ้วน ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome: PCOS) ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ การมีบุตรยาก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และยังอาจก่อปัญหาอื่นๆที่เป็นผลกระทบตามมา เช่น โรคปวดหลัง โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น
รอบรู้โรคร้ายได้ แค่รู้รอบเอว
ไม่ต้องอายที่จะหยิบสายวัดวัดรอบเอวคุณ วิธีที่ถูกต้องคือ วัดผ่านสะดือ ขณะหายใจออกเต็มที่ (อย่าเข้าข้างตัวเอง โดยรัดสายแน่นเกินไป) แล้วลองดูซิว่าค่าที่ได้เข้าข่ายความเสี่ยงหรือไม่ เกณฑ์การวินิจฉัยโดยสหพันธ์เบาหวานโลก (International Diabetes Federation) สำหรับคนไทย ผู้ชายใช้เกณฑ์เส้นรอบเอวไม่เกิน 90 ซม. และผู้หญิงไม่เกิน 80 ซม. หากเกินจากนี้ และมีภาวะ 2 ใน 4 ข้อต่อไปนี้ร่วมด้วย ให้ถือว่าเป็นเมตาบอลิคซินโดรม
- ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด มากกว่า 150 มก./ดล.
- ระดับ เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล (ไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย) น้อยกว่า 40 มก./ดล.ในผู้ชาย หรือ น้อยกว่า 50 มก./ดล.ในผู้หญิง
- ความดันโลหิต มากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตอยู่
- ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร มากกว่า 100 มก./ดล.
Metabolic Syndrome เรื่องเดียว เกี่ยวพันไปหลายโรค
เคยได้ยินคำว่าเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า? เมตาบอลิคซินโดรมก็เข้าข่ายนั้นเช่นกัน เพราะเมตาบอลิคซินโดรม (Metabolic Syndrome) คืออาการผิดปกติที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานในร่างกายไม่สมบูรณ์ โดยปกติอาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด รออินซูลินพาเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน คนที่มีปัญหาลงพุงจะมีเซลล์ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น ทำให้กรดไขมันหลั่งเข้ามาสู่กระเลือดมากขึ้น มีผลทำให้การเผาผลาญน้ำตาลกูลโคสลดลง ร่างกายจึงไม่สามารถดึงน้ำตาลในเลือดมาใช้ เกิดการคั่งในกระแสเลือด จนทำลายระบบหลอดเลือด และระบบปลายประสาท ขณะที่ฮอร์โมน adiponectin ในกระแสเลือดกลับลดลง ทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลินมากขึ้น
เมตาบอลิค ซินโดรม เรื่องเดียวจึงมีผลต่อระบบหลอดเลือดแทบทุกส่วนอวัยวะ เช่น มีผลต่อหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจได้ง่าย มีผลต่อไต ทำให้ไตขับเกลือน้อยลง ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง ไตวาย มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงเป็นผลให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน เลือดมีภาวะแข็งตัวง่ายทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดสมองหรือหัวใจ มีผลต่อตับทำให้ไขมันคั่งในตับ ขณะที่ภาวะดื้อต่ออินซูลินมีผลต่อการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งโรคเหล่านี้อาจต้องกินยาประคับประคองและพบแพทย์ตลอดชีวิต
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้หญิงอ้วน ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome: PCOS) ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ การมีบุตรยาก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และยังอาจก่อปัญหาอื่นๆที่เป็นผลกระทบตามมา เช่น โรคปวดหลัง โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น
รอบรู้โรคร้ายได้ แค่รู้รอบเอว
ไม่ต้องอายที่จะหยิบสายวัดวัดรอบเอวคุณ วิธีที่ถูกต้องคือ วัดผ่านสะดือ ขณะหายใจออกเต็มที่ (อย่าเข้าข้างตัวเอง โดยรัดสายแน่นเกินไป) แล้วลองดูซิว่าค่าที่ได้เข้าข่ายความเสี่ยงหรือไม่ เกณฑ์การวินิจฉัยโดยสหพันธ์เบาหวานโลก (International Diabetes Federation) สำหรับคนไทย ผู้ชายใช้เกณฑ์เส้นรอบเอวไม่เกิน 90 ซม. และผู้หญิงไม่เกิน 80 ซม. หากเกินจากนี้ และมีภาวะ 2 ใน 4 ข้อต่อไปนี้ร่วมด้วย ให้ถือว่าเป็นเมตาบอลิคซินโดรม
- ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด มากกว่า 150 มก./ดล.
- ระดับ เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล (ไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย) น้อยกว่า 40 มก./ดล.ในผู้ชาย หรือ น้อยกว่า 50 มก./ดล.ในผู้หญิง
- ความดันโลหิต มากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตอยู่
- ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร มากกว่า 100 มก./ดล.
เมื่อผมผ่าตัดครบหนึ่งโหล
การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) สามารถใช้ได้กับการผ่าตัดทางนรีเวชเกือบทุกชนิดเช่น การผ่าตัดมดลูก การผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ การผ่าตัดปีกมดลูก เป็นต้น กล้องที่ใช้ในการผ่าตัดมีกำลังขยายทำให้มองเห็นอวัยวะต่างๆได้ชัดเจน และสามารถเข้าไปถึงตำแหน่งต่างๆในอุ้งเชิงกรานได้ง่ายกว่าการผ่าตัดเปิดหน้า ท้องแบบดั้งเดิม โดยไม่ทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่ดังเช่นการผ่าตัดเปิดหน้าท้องแบบดั้งเดิม ผู้ป่วยปวดแผลน้อยกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่า ทำให้พักอยู่ในโรงพยาบาลไม่นานก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น ในบางรายสามารถกลับบ้านได้ในวันเดียว และส่วนใหญ่ก็สามารถใช้ชีวิตเกือบปกติได้ในหนึ่งสัปดาห์
สิบสองปีที่ผ่านไปได้ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ได้รับใช้ประชาชนไปกว่า2000 ราย แต่เมื่อเทียบกับงานทั้งประเทศที่มีนับหมื่นในแต่ละปีถือว่าน้อยมาก แต่ประสบการณ์ที่ค่อยๆสะสมมา และความรับผิดชอบที่สูงมากๆก็เป็นประวัติศาสตร์แห่งชีวิตอีกบทหนึ่งที่เกิด ขึ้นมาแล้วกับตัวผมเอง
หลังจากจบหลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางในสาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาแล้ว ผมก็มีหนทางการดำเนินชีวิตไม่ต่างจากแพทย์ร่วมสายวิชาชีพท่านอื่นๆมากนัก นั่นก็คือการแสวงหาสถานที่ในการปฏิบัติงาน ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง โดยมีเป้าหมายคือการนำวิชาการที่ได้ร่ำเรียนมาทั้งสิ้น 9 ปี ลงสู่สนามการทำงานจริงอย่างสมบูรณ์นั่นเอง
แต่ในชีวิตจริงนั้นมิได้เป็นเช่นดังที่คาดหวังไว้ การใช้ชีวิตมิได้หยุดนิ่ง เช่นเดียวกับการเรียนรู้ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เนื่องจากข่าวสารข้อมูลที่ได้รับแตกต่างออกไปจากที่เรียนมาทีละเล็กทีละน้อย การที่จะพยายามไม่รับรู้สิ่งต่างๆจากภายนอกเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากความจำเจเริ่มคืบคลานเข้ามา ความเบื่อหน่ายก็เข้ามาแทนที่ในชีวิต ทำให้การรับฝากครรภ์ การทำคลอด การทำหมัน การตรวจภายใน การผ่าตัดในอุ้งเชิงกรานโดยการเปิดหน้าท้องแบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่ไม่ท้าทายเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกไร้พรหมแดนเช่นปัจจุบัน
ในปีพ.ศ. 2537 ผมได้เห็นประกาศการรับสมัครผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรการผ่าตัดผ่านกล้องทาง นรีเวชกรรม จากภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเยอรมนีเป็นวิทยากร ทำให้ข้าพเจ้าสนใจขึ้นมาทันที เนื่องจากสมัยเรียนนั้น การผ่าตัดผ่านกล้องไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่เลยนอกเสียจากการส่องกล้องเพื่อการ ตรวจวินิจฉัย และการทำหมันแห้งเท่านั้น แต่นี่กลับมีการผ่าตัดได้ด้วย อีกทั้งในช่วงนั้นได้มีรายงานทางการแพทย์ฉบับหนึ่งได้กล่าวถึงการผ่าตัด มดลูกผ่านกล้องส่องช่องท้องสำเร็จเป็นรายแรกของโลกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2534 โดยนายแพทย์ แฮรี่ ริชท์ จากสหรัฐอเมริกา จึงเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น และหากเราได้เข้าร่วมการฝึกอบรมจะทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มเติม ขึ้นมาอีกเป็นแน่
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วกับการฝึกอบรมระยะสั้นครั้งนั้น ผมได้อะไรน้อยมากเนื่องจากมีผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมมากมายเกือบร้อยคน ประกอบกับระยะเวลาการเรียนรู้มีจำกัด แต่สิ่งที่ผมได้เยอะมากที่สุดก็คือ ความประทับใจในความคิดและจินตนาการของมนุษย์ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ในการแก้ปัญหาความเจ็บไข้ของมวลมนุษย์ให้ลุล่วงไปอย่างดีที่สุด ผมได้นำความรู้มาปฏิบัติตามแต่ก็เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นเท่าใดนักและนั่นทำ ให้ผมตัดสินใจเดินหน้าต่อไปเพื่อไปให้ถึงความสามารถดังเช่นแพทย์จากประเทศ ที่เจริญแล้วเค้ามีกัน
ผมเริ่มต้นการเดินทางค้นหาความจริงด้วยการไปเยี่ยมชมโรงพยาบาลในประเทศ เยอรมนี และ
เน เธอร์แลนด์ ได้พบเห็นการผ่าตัดผ่านกล้องสดๆด้วยตาของตนเองเป็นครั้งแรกเป็นการผ่าตัดเอา มดลูกออกทางช่องคลอดโดยใช้กล้องส่องช่องท้องช่วย แทบจะไม่เชื่อสายตาแต่ความเป็นจริงได้อุบัติขึ้นแล้วในโลกใบนี้ แต่เราก็ไม่สามารถจะเรียนรู้ได้อย่างถึงแก่นซะทีเดียว ผมจึงได้ติดต่อไปยังประธานสมาคมนรีแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องนานาชาติแห่งสหรัฐ อเมริกาขณะนั้นคือนายแพทย์ เจมส์ แดเนียล เพื่อขอเข้ารับการฝึกอบรมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผมก็ได้รับความกรุณาจากท่านอย่างเต็มที่โดยมิได้เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่าง ใด
ประสบการณ์ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อนั้น ผมได้ให้บริการการผ่าตัดผ่านกล้องแก่ผู้ป่วยไปแล้วทั้งสิ้นประมาณ 80 ราย ซึ่งขณะนั้นคิดว่าหากท่านอาจารย์ถามอะไรมา เราก็คงสามารถแสดงตัวเลขได้อย่างสมศักดิ์ศรีบ้างพอสมควร แต่เพื่อความไม่ประมาทไหนๆก็จะมาเรียนแล้วระหว่างโดยสารอยู่บนเครื่องบินก็ บันทึกคำถามเพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคที่ผ่านๆมา นึกไปนึกมาได้ประมาณ 5 หน้าสมุดบันทึกทีเดียว
วันแรกแห่งการเรียนรู้อย่างจริงจังในปีพ.ศ. 2539 ก็ทำให้คำถามต่างๆที่เตรียมมาได้รับคำตอบที่น่าพอใจถึง 3 หน้าทีเดียวส่วนที่เหลือก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่ก็ทำให้อุ่นใจได้ว่า.......เรามาถูกทางแล้ว ประสบกาณ์ที่ผ่านมา 80 รายภายในสองปีนั้นดูด้อยลงถนัดตาเมื่อเทียบกับสถิติการผ่าตัดผ่านกล้องในโรง พยาบาลเซนเทนเนียล เมดดิอลเซนเตอร์ มลรัฐเทนเนสซี่ มีมากถึงเดือนละ 300 ราย ผมถึงกับอุทานอยู่ในใจว่า โอ้มายก๊อด สัปดาห์ต่อมาผมได้ร่วมเดินทางไปประชุมวิชาการสามัญประจำปีของสมาคมที่ อาจารย์ของผมเป็นประธานอยู่ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองชิคาโก โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 600 คนจากทั่วโลกทำให้เราได้เห็นว่า เป็นโอกาสที่ดีมากที่ได้มาพบปะผู้สนใจวิชาการการผ่าตัดผ่านกล้องมากมายเช่น นี้เชียวหรือ ทำให้มีกำลังใจในการตั้งใจนำความรู้กลับมาให้บริการแก่ประชาชนมากขึ้นอีก เป็นทวีคูณ
การเรียนรู้เริ่มต้นด้วยการอ่านตำราต่างๆ จากนั้นจึงเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์วิธีการผ่าตัด และเมื่อมีเวลาว่างก็มานั่งดูวิดีโอการผ่าตัดชนิดต่างๆที่ได้บันทึกไว้ ในวันหยุดก็ฝึกการใช้เครื่องมือการผ่าตัดผ่านกล้อง โดยใช้หุ่นยนต์มาเป็นเครื่องช่วยการเรียนรู้ จากนั้นก็ฝึกการผ่าตัดจริงในสัตว์ทดลองซึ่งก็น่าสงสารเจ้าหมูน้อยน้ำหนัก 25 กิโลกรัมเสียจริงๆ เนื่องจากต้องได้รับการฉีดยาให้เสียชีวิตไปหลังจากการเรียนรู้สิ้นสุดลง เมื่อการฝึกปฏิบัติมาถึงบทท้ายๆ ผมได้มายืนเคียงข้างเตียงผ่าตัดคู่กับผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดผ่านกล้องที่มี ชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก ร่วมกันผ่าตัด ร่วมกันเยี่ยมผู้ป่วยหลังการผ่าตัด คนแล้วคนเล่า จนแน่ใจว่าจะสามารถจดจำสิ่งที่มีประโยชน์มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันให้ ดีที่สุดให้จงได้ จากการเรียนรู้ที่ผ่านไป ทำให้เห็นความสามารถและประสิทธิภาพของการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชกรรม ที่ทำพลิกความคิดแบบเดิมๆไปสู่ความรู้อีกหน้าหนึ่งของศาสตร์ทางการแพทย์สมัย ใหม่ ทั้งๆที่วิธีการเหล่านี้มีผู้ค้นคิดมานับร้อยปีแล้ว แต่พึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่เพียงสองทศวรรษเท่านั้น เนื่องจากได้มีการพัฒนาการทางเทคโนโลยีต่างๆเช่น ใยแก้วนำแสง เทคโนโลยีการถ่ายทอดสัญญาณภาพ หรือการใช้หุ่นยนต์เป็นต้น
ก่อนกลับท่านอาจารย์ได้ฝากข้อคิดสำคัญไว้ว่า One who does not learn Laparoscopy will be history (ผู้ใดไม่เรียนรู้การผ่าตัดผ่านกล้อง จะเป็นคนในยุกต์ประวัติศาสตร์ซะแล้ว) ผมก็ได้ถ่ายทอดให้รุ่นต่อๆมารับทราบเมื่อมีโอกาส และดูเหมือนจะใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
จากวันแรกเริ่มที่ผมจับเครื่องมือการผ่าตัดผ่านกล้องจนถึงวันนี้ ครบสิบสองปีแล้ว ผู้ป่วยที่มารับบริการการผ่าตัดสามารถเข้าใจวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรี เวชกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแพทย์ไทยเราที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศขณะนี้ได้มีการเรียนรู้ เพิ่มเติมมากขึ้น และได้มีการกระจายความรู้ความเข้าใจออกไปอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้มีการเรียนการสอนในทุกสถาบันการแพทย์ของประเทศให้แพทย์มีความรู้ พื้นฐานในการขวนขวายต่อไปในภายภาคหน้า จนผมสังเกตพบว่าผู้ป่วยกว่าร้อยละ 80 เลยทีเดียวที่มีข้อมูลของการผ่าตัดผ่านกล้อง วิธีการผ่าตัดก็สามารถทำได้โดยการเป่าลมเข้าสู่ช่องท้อง แล้วใช้กล้องที่มีแสงสว่างอยู่ด้วยสอดผ่านแผลขนาด 5 มิลลิเมตรบริเวณสะดือลงสู่ภายในช่องท้อง เพื่อทำการตรวจสภาพภายในช่องท้องจากนั้นจึงสอดเครื่องมือขนาดเล็กผ่านแผล บริเวณท้องน้อยทั้งสองข้างเพื่อทำการผ่าตัด
สิบสองปีที่ผ่านไปได้ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ได้รับใช้ประชาชนไปกว่า 2000 ราย แต่เมื่อเทียบกับงานทั้งประเทศที่มีนับหมื่นในแต่ละปีถือว่าน้อยมาก แต่ก็นับได้ว่าเป็นฟันเฟืองส่วนหนึ่งที่พยายามนำพาวิธีการผ่าตัดผ่านกล้อง ให้ไปสู่จุดหมายที่แท้จริง เพราะนอกจากจะให้บริการผู้เจ็บป่วยแล้ว ยังได้ร่วมกับชมรมนรีแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องแห่งประเทศไทย เผยแพร่ความรู้อย่างต่อเนื่องอีก ด้วย
จะเห็นได้ว่าการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชกรรมสามารถนำมาให้บริการแก่ผู้ป่วย ได้อย่างหลากหลาย โดยที่ข้อบ่งชี้ในการทำผ่าตัดมีมากขึ้นและข้อห้ามก็จะลดลงตามลำดับ แปรตามจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่สนใจวิธีการทางด้านนี้ได้ขยายวงกว้างออกไป เรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันผลข้างเคียงก็อาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
จากประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนเห็นว่ามีสิ่งที่น่าจะสามารถนำมาบอก เล่า ถึงศักยภาพของการนำวิธีการทางการแพทย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้มารับ บริการอย่างสูงสุด อันเป็นการ transfer technology จากอดีตมาสู่ยุคสมัยปัจจุบันเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ให้มากขึ้นในอนาคต
เขียนโดย:
นพ. มงคล จันทาภากุล
สูติ นรีเวชวิทยา - ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
สิบสองปีที่ผ่านไปได้ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ได้รับใช้ประชาชนไปกว่า2000 ราย แต่เมื่อเทียบกับงานทั้งประเทศที่มีนับหมื่นในแต่ละปีถือว่าน้อยมาก แต่ประสบการณ์ที่ค่อยๆสะสมมา และความรับผิดชอบที่สูงมากๆก็เป็นประวัติศาสตร์แห่งชีวิตอีกบทหนึ่งที่เกิด ขึ้นมาแล้วกับตัวผมเอง
หลังจากจบหลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางในสาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาแล้ว ผมก็มีหนทางการดำเนินชีวิตไม่ต่างจากแพทย์ร่วมสายวิชาชีพท่านอื่นๆมากนัก นั่นก็คือการแสวงหาสถานที่ในการปฏิบัติงาน ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง โดยมีเป้าหมายคือการนำวิชาการที่ได้ร่ำเรียนมาทั้งสิ้น 9 ปี ลงสู่สนามการทำงานจริงอย่างสมบูรณ์นั่นเอง
แต่ในชีวิตจริงนั้นมิได้เป็นเช่นดังที่คาดหวังไว้ การใช้ชีวิตมิได้หยุดนิ่ง เช่นเดียวกับการเรียนรู้ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เนื่องจากข่าวสารข้อมูลที่ได้รับแตกต่างออกไปจากที่เรียนมาทีละเล็กทีละน้อย การที่จะพยายามไม่รับรู้สิ่งต่างๆจากภายนอกเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากความจำเจเริ่มคืบคลานเข้ามา ความเบื่อหน่ายก็เข้ามาแทนที่ในชีวิต ทำให้การรับฝากครรภ์ การทำคลอด การทำหมัน การตรวจภายใน การผ่าตัดในอุ้งเชิงกรานโดยการเปิดหน้าท้องแบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่ไม่ท้าทายเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกไร้พรหมแดนเช่นปัจจุบัน
ในปีพ.ศ. 2537 ผมได้เห็นประกาศการรับสมัครผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรการผ่าตัดผ่านกล้องทาง นรีเวชกรรม จากภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเยอรมนีเป็นวิทยากร ทำให้ข้าพเจ้าสนใจขึ้นมาทันที เนื่องจากสมัยเรียนนั้น การผ่าตัดผ่านกล้องไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่เลยนอกเสียจากการส่องกล้องเพื่อการ ตรวจวินิจฉัย และการทำหมันแห้งเท่านั้น แต่นี่กลับมีการผ่าตัดได้ด้วย อีกทั้งในช่วงนั้นได้มีรายงานทางการแพทย์ฉบับหนึ่งได้กล่าวถึงการผ่าตัด มดลูกผ่านกล้องส่องช่องท้องสำเร็จเป็นรายแรกของโลกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2534 โดยนายแพทย์ แฮรี่ ริชท์ จากสหรัฐอเมริกา จึงเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น และหากเราได้เข้าร่วมการฝึกอบรมจะทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มเติม ขึ้นมาอีกเป็นแน่
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วกับการฝึกอบรมระยะสั้นครั้งนั้น ผมได้อะไรน้อยมากเนื่องจากมีผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมมากมายเกือบร้อยคน ประกอบกับระยะเวลาการเรียนรู้มีจำกัด แต่สิ่งที่ผมได้เยอะมากที่สุดก็คือ ความประทับใจในความคิดและจินตนาการของมนุษย์ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ในการแก้ปัญหาความเจ็บไข้ของมวลมนุษย์ให้ลุล่วงไปอย่างดีที่สุด ผมได้นำความรู้มาปฏิบัติตามแต่ก็เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นเท่าใดนักและนั่นทำ ให้ผมตัดสินใจเดินหน้าต่อไปเพื่อไปให้ถึงความสามารถดังเช่นแพทย์จากประเทศ ที่เจริญแล้วเค้ามีกัน
ผมเริ่มต้นการเดินทางค้นหาความจริงด้วยการไปเยี่ยมชมโรงพยาบาลในประเทศ เยอรมนี และ
เน เธอร์แลนด์ ได้พบเห็นการผ่าตัดผ่านกล้องสดๆด้วยตาของตนเองเป็นครั้งแรกเป็นการผ่าตัดเอา มดลูกออกทางช่องคลอดโดยใช้กล้องส่องช่องท้องช่วย แทบจะไม่เชื่อสายตาแต่ความเป็นจริงได้อุบัติขึ้นแล้วในโลกใบนี้ แต่เราก็ไม่สามารถจะเรียนรู้ได้อย่างถึงแก่นซะทีเดียว ผมจึงได้ติดต่อไปยังประธานสมาคมนรีแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องนานาชาติแห่งสหรัฐ อเมริกาขณะนั้นคือนายแพทย์ เจมส์ แดเนียล เพื่อขอเข้ารับการฝึกอบรมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผมก็ได้รับความกรุณาจากท่านอย่างเต็มที่โดยมิได้เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่าง ใด
ประสบการณ์ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อนั้น ผมได้ให้บริการการผ่าตัดผ่านกล้องแก่ผู้ป่วยไปแล้วทั้งสิ้นประมาณ 80 ราย ซึ่งขณะนั้นคิดว่าหากท่านอาจารย์ถามอะไรมา เราก็คงสามารถแสดงตัวเลขได้อย่างสมศักดิ์ศรีบ้างพอสมควร แต่เพื่อความไม่ประมาทไหนๆก็จะมาเรียนแล้วระหว่างโดยสารอยู่บนเครื่องบินก็ บันทึกคำถามเพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคที่ผ่านๆมา นึกไปนึกมาได้ประมาณ 5 หน้าสมุดบันทึกทีเดียว
วันแรกแห่งการเรียนรู้อย่างจริงจังในปีพ.ศ. 2539 ก็ทำให้คำถามต่างๆที่เตรียมมาได้รับคำตอบที่น่าพอใจถึง 3 หน้าทีเดียวส่วนที่เหลือก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่ก็ทำให้อุ่นใจได้ว่า.......เรามาถูกทางแล้ว ประสบกาณ์ที่ผ่านมา 80 รายภายในสองปีนั้นดูด้อยลงถนัดตาเมื่อเทียบกับสถิติการผ่าตัดผ่านกล้องในโรง พยาบาลเซนเทนเนียล เมดดิอลเซนเตอร์ มลรัฐเทนเนสซี่ มีมากถึงเดือนละ 300 ราย ผมถึงกับอุทานอยู่ในใจว่า โอ้มายก๊อด สัปดาห์ต่อมาผมได้ร่วมเดินทางไปประชุมวิชาการสามัญประจำปีของสมาคมที่ อาจารย์ของผมเป็นประธานอยู่ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองชิคาโก โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 600 คนจากทั่วโลกทำให้เราได้เห็นว่า เป็นโอกาสที่ดีมากที่ได้มาพบปะผู้สนใจวิชาการการผ่าตัดผ่านกล้องมากมายเช่น นี้เชียวหรือ ทำให้มีกำลังใจในการตั้งใจนำความรู้กลับมาให้บริการแก่ประชาชนมากขึ้นอีก เป็นทวีคูณ
การเรียนรู้เริ่มต้นด้วยการอ่านตำราต่างๆ จากนั้นจึงเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์วิธีการผ่าตัด และเมื่อมีเวลาว่างก็มานั่งดูวิดีโอการผ่าตัดชนิดต่างๆที่ได้บันทึกไว้ ในวันหยุดก็ฝึกการใช้เครื่องมือการผ่าตัดผ่านกล้อง โดยใช้หุ่นยนต์มาเป็นเครื่องช่วยการเรียนรู้ จากนั้นก็ฝึกการผ่าตัดจริงในสัตว์ทดลองซึ่งก็น่าสงสารเจ้าหมูน้อยน้ำหนัก 25 กิโลกรัมเสียจริงๆ เนื่องจากต้องได้รับการฉีดยาให้เสียชีวิตไปหลังจากการเรียนรู้สิ้นสุดลง เมื่อการฝึกปฏิบัติมาถึงบทท้ายๆ ผมได้มายืนเคียงข้างเตียงผ่าตัดคู่กับผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดผ่านกล้องที่มี ชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก ร่วมกันผ่าตัด ร่วมกันเยี่ยมผู้ป่วยหลังการผ่าตัด คนแล้วคนเล่า จนแน่ใจว่าจะสามารถจดจำสิ่งที่มีประโยชน์มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันให้ ดีที่สุดให้จงได้ จากการเรียนรู้ที่ผ่านไป ทำให้เห็นความสามารถและประสิทธิภาพของการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชกรรม ที่ทำพลิกความคิดแบบเดิมๆไปสู่ความรู้อีกหน้าหนึ่งของศาสตร์ทางการแพทย์สมัย ใหม่ ทั้งๆที่วิธีการเหล่านี้มีผู้ค้นคิดมานับร้อยปีแล้ว แต่พึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่เพียงสองทศวรรษเท่านั้น เนื่องจากได้มีการพัฒนาการทางเทคโนโลยีต่างๆเช่น ใยแก้วนำแสง เทคโนโลยีการถ่ายทอดสัญญาณภาพ หรือการใช้หุ่นยนต์เป็นต้น
ก่อนกลับท่านอาจารย์ได้ฝากข้อคิดสำคัญไว้ว่า One who does not learn Laparoscopy will be history (ผู้ใดไม่เรียนรู้การผ่าตัดผ่านกล้อง จะเป็นคนในยุกต์ประวัติศาสตร์ซะแล้ว) ผมก็ได้ถ่ายทอดให้รุ่นต่อๆมารับทราบเมื่อมีโอกาส และดูเหมือนจะใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
จากวันแรกเริ่มที่ผมจับเครื่องมือการผ่าตัดผ่านกล้องจนถึงวันนี้ ครบสิบสองปีแล้ว ผู้ป่วยที่มารับบริการการผ่าตัดสามารถเข้าใจวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรี เวชกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแพทย์ไทยเราที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศขณะนี้ได้มีการเรียนรู้ เพิ่มเติมมากขึ้น และได้มีการกระจายความรู้ความเข้าใจออกไปอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้มีการเรียนการสอนในทุกสถาบันการแพทย์ของประเทศให้แพทย์มีความรู้ พื้นฐานในการขวนขวายต่อไปในภายภาคหน้า จนผมสังเกตพบว่าผู้ป่วยกว่าร้อยละ 80 เลยทีเดียวที่มีข้อมูลของการผ่าตัดผ่านกล้อง วิธีการผ่าตัดก็สามารถทำได้โดยการเป่าลมเข้าสู่ช่องท้อง แล้วใช้กล้องที่มีแสงสว่างอยู่ด้วยสอดผ่านแผลขนาด 5 มิลลิเมตรบริเวณสะดือลงสู่ภายในช่องท้อง เพื่อทำการตรวจสภาพภายในช่องท้องจากนั้นจึงสอดเครื่องมือขนาดเล็กผ่านแผล บริเวณท้องน้อยทั้งสองข้างเพื่อทำการผ่าตัด
สิบสองปีที่ผ่านไปได้ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ได้รับใช้ประชาชนไปกว่า 2000 ราย แต่เมื่อเทียบกับงานทั้งประเทศที่มีนับหมื่นในแต่ละปีถือว่าน้อยมาก แต่ก็นับได้ว่าเป็นฟันเฟืองส่วนหนึ่งที่พยายามนำพาวิธีการผ่าตัดผ่านกล้อง ให้ไปสู่จุดหมายที่แท้จริง เพราะนอกจากจะให้บริการผู้เจ็บป่วยแล้ว ยังได้ร่วมกับชมรมนรีแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องแห่งประเทศไทย เผยแพร่ความรู้อย่างต่อเนื่องอีก ด้วย
จะเห็นได้ว่าการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชกรรมสามารถนำมาให้บริการแก่ผู้ป่วย ได้อย่างหลากหลาย โดยที่ข้อบ่งชี้ในการทำผ่าตัดมีมากขึ้นและข้อห้ามก็จะลดลงตามลำดับ แปรตามจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่สนใจวิธีการทางด้านนี้ได้ขยายวงกว้างออกไป เรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันผลข้างเคียงก็อาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
จากประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนเห็นว่ามีสิ่งที่น่าจะสามารถนำมาบอก เล่า ถึงศักยภาพของการนำวิธีการทางการแพทย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้มารับ บริการอย่างสูงสุด อันเป็นการ transfer technology จากอดีตมาสู่ยุคสมัยปัจจุบันเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ให้มากขึ้นในอนาคต
เขียนโดย:
นพ. มงคล จันทาภากุล
สูติ นรีเวชวิทยา - ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)