วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เรื่องที่ไม่ควรยอม “แพ้”


ถ้าถึงวันสำคัญของคุณ แต่อยู่ๆ ตื่นขึ้นมาก็มีอาการจาม นํ้ามูกไหลหรือตาแฉะ เพราะเผลอเรอไม่ดูแลตัวเองให้ดี ปล่อยให้โรค “ภูมิแพ้” กำเริบขึ้นมา ทำให้เสียงานเสียการ คุณจะไปโทษใครได้!
กลไกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การเกิดการแพ้เป็นผลที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ในพันธุกรรมในยีน (gene) ซึ่งแสดงออกมาทางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตามปกติแล้วแต่ละคนจะมีระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ควบคุมการป้องกันตัวเองของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันนี้มีหน้าที่จดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายเราหรือเป็นสารก่อภูมิแพ้ allergen และสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อ allergen โดยการสร้างสาร antibody ที่เรียกว่า Immunoglobulin E (IgE) ซึ่งไปกระตุ้น Mast Cell ให้มีการหลั่งสาร Histamine ตามเนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา จมูก และปอด โดยออกอาการต่างๆ กัน ตั้งแต่เป็นผื่นคันตามผิวหนัง เรื่อยไปจนถึงหายใจไม่ออก ซึ่งบางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ สาร IgE นี้ มีหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีเรดาร์ที่เจาะจงกับสารที่แพ้แต่ละชนิด ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนแพ้แค่สารบางอย่างเท่านั้นหรือบางคนแทบไม่แพ้อะไรเลย ในปัจจุบันคนในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้ และมีแนวโน้มที่จะเป็นมากขึ้นรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราลองมาทำความรู้จักกันก่อนว่าภูมิแพ้มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ภูมิแพ้จมูกอักเสบ Allergic Rhinitis
ภูมิแพ้ชนิดนี้พบได้บ่อยที่สุด อาจจะเป็นตามฤดูกาล หรือเป็นตลอดปีก็ได้ ถ้าเป็นตามฤดูกาลจะเรียกอีกอย่างว่า hay fever ซึ่งบางคนจะเป็นเฉพาะหน้าฝน หรือหน้าหนาว อาการที่พบได้คือมีอาการจาม คัดจมูก นํ้ามูกไหล และมีอาการคันจมูก คันตา หรือบางคนมีอาการคันที่เพดานปากด้วย สำหรับคนที่มีอาการอยู่ตลอดทั้งปี จะสัมพันธ์กับการได้รับสารก่อภูมิแพ้อยู่ตลอด เช่น ในห้องนอน หรือที่บ้าน ที่ทำงาน เช่น การสัมผัสกับไรฝุ่นบ้านหรือเชื้อรา หรือสัตว์เลี้ยงในบ้าน โรคที่พบได้ต่อเนื่องจากการเกิดการแพ้ ทางจมูก คือ ไซนัสอักเสบ และหูชั้นกลางอักเสบ Sinusitis and Otitis Media โดยจะมีอาการบวมของเยื่อบุในโพรงไซนัส และทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา หากปล่อยทิ้งไว้เรื้อรังโดยเฉพาะในเด็ก จะทำให้เกิพัฒนาการด้านการพูดผิดปกติได้
ภูมิแพ้ทางตา Allergic Conjunctivitis
เมื่อเนื้อเยื่อตาไปโดนสารก่อภูมิแพ้แล้วทำให้มีอาการบวม แดง คันตา นํ้าตาไหล เช่นเดียวกับการเป็นผื่นแพ้ที่ผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัส ซึ่งจะมีอาการคัน บวม แดงเป็นผื่นหรือผิวลอกที่ผิวหนัง กลุ่มที่เป็นแบบนี้มีโอกาสที่จะเกิดหอบหืดได้ในอนาคตประมาณ 50%
ลมพิษ Urticaria
ส่วนใหญ่จะเกิดจากการแพ้อาหาร หรือแพ้ยา ลักษณะเป็นรอยนูนแดงบนผิวหนังตามตัวเป็นรอยนูน ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง
หอบหืด Asthmaนับว่าเป็นโรคปอดชนิดหนึ่งที่พบบ่อยในเด็ก โดยมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก และมีเสียงดังเวลาหายใจที่เรียกว่า wheezing กว่า 78% ของคนที่เป็นหอบหืดจะมีอาการภูมิแพ้ของจมูกด้วย
เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการของหอบหืด จะทำให้หลอดลมทางเดินหายใจตีบแคบลงทำให้หายใจลำบาก เมื่อคุณสูดหายใจเอาสารที่แพ้เข้าไป อาการบวมของทางเดินหายใจจะยิ่งเป็นมากขึ้น และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากนี้ยังจะเกิดจากการติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือเกิดจากได้รับการระคายเคืองจากควัน หรือควันบุหรี่ด้วยสารก่อภูมิแพ้ การที่จะดูแลเพื่อป้องกันโรคภูมิแพ้กำเริบได้นั้น จำเป็นจะต้องรู้เรื่องสารที่ทำให้เกิดการแพ้ เพื่อหลีกเลี่ยง สารก่อภูมิแพ้สามารถแบ่งง่ายๆ ได้เป็นสองกลุ่ม คือ
1. สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ภายนอกบ้าน outdoor allergens มักจะเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ตามฤดูกาล เนื่องจากละอองของเกสรดอกไม้ เกสรดอกหญ้า หรือจากเชื้อราที่อยู่ภายนอกบ้าน
2. สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ภายในบ้าน indoor allergens
- ไรฝุ่นบ้าน ไรฝุ่นบ้านเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้
อาการหอบหืด ภายในบ้านจะพบไรฝุ่นได้ทั่วไป โดยเฉพาะในห้องนอน เตียงนอน หมอนหรือเฟอร์นิเจอร์นุ่มๆ
- สัตว์เลี้ยงที่มีขน คนที่เป็นภูมิแพ้ส่วนหนึ่งจะแพ้ขนสัตว์ เช่น ขนสุนัข ขนแมว แต่บางคนนอกจากแพ้ขนแล้ว ยังมีการแพ้ที่เกิดจากการแพ้นํ้าลาย หรือแพ้ปัสสาวะ แพ้ผิวหนังที่หลุดลอกของสัตว์เลี้ยง หรือเสื้อผ้าขนสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่จะออกอาการภายในไม่กี่นาทีหลังจากการสัมผัส ในบางราย อาการเริ่มต้นขึ้นช้าๆ แต่มีอาการรุนแรงขึ้นภายหลังสัมผัสไปแล้ว 8-12 ชั่วโมง บางคนมีอาการขณะที่อยู่นอกบ้าน
เนื่องจากไปสัมผัสถูกเสื้อผ้าของคนอื่นที่มีผิวของสัตว์ติดอยู่ที่เสือผ้า
- แมลงสาบ สารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบจะเป็นอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด โดยเฉพาะในเด็ก
- เชื้อรา เชื้อราที่อยู่ในบ้านจะอยู่ในที่อับชื้น เช่น ห้องนํ้า ห้องครัว บริเวณใต้ถุนบ้าน
ต้องไม่ยอม “แพ้” ทางที่ดีที่สุดของคนเป็นโรคภูมิแพ้ คือ ถ้ารู้ตัวว่าเคยแพ้อะไร ก็ให้หลีกเลี่ยงสิ่งนั้นหรือกิจกรรมที่จะทำให้เราเกิดภูมิแพ้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการซักปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนให้สะอาดและแห้งสนิท ดูแลบ้านช่องให้มีอากาศถ่ายเท ไม่อับชื้น หรือ ยอมไม่ให้สัตว์เลี้ยงแสนรักมาป้วนเปี้ยนใกล้ที่นอน หมอน มุ้ง สวมหน้ากากเวลาทำความสะอาด ที่ง่ายที่สุดคือให้คนอื่น ที่ไม่เป็นภูมิแพ้ทำแทน
ที่สำคัญคือ ควรเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศ หรือเครื่องปรับอากาศที่มีแผ่นกรองอากาศความละเอียดสูง ซึ่งบางชนิดจะมีระบบปล่อยไฮโดรเจน และออกซิเจนไอออนออกมาในอากาศ เพื่อช่วยยับยั้งการแพร่เชื้อโรคในอากาศ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือ สารก่อภูมิแพ้ ได้อีกด้วย
สุดท้ายคือ การหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ การพักผ่อนให้เพียงพอและการออกกำลังกายเป็นประจำรับประทานยาแก้แพ้ เมื่อมีอาการหรือเมื่อต้องเจอสารที่แพ้ ถ้ากำเริบมากๆ ยาที่ใช้เป็นประจำเอาไม่อยู่ ต้องรีบพบแพทย์ทันที
ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Flu) ปีละครั้งเพื่อป้องกันการเป็นไข้หวัดซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น