วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Stem Cells for Hope


We all have heard that stem cells can be collected from the umbilical cord, but let’s get to know how we can use them.  Dr. Siripat Preechasanongkit, obstetrics/gynecologist at Samitivej Srinakarin, explained that stem cells are cells that can divide to renew themselves over and over again and can be changed into any special functioning cell type in the body.  Stem cells can be used to replace cells in the damaged tissue.  They are widely used for the treatment of leukemia, lymphoma, and thalassemia.
Stem cells can be divided into two types: embryonic stem cells and adult stem cells.  Embryonic stem cells are derived from the embryos during the blastocyst stage of fertilization (eggs that have been fertilized for 3 – 5 days).  They can develop into any cell with specialized function such as cells of the pancreas, liver, lung, bladder, blood, muscle or heart.  Adult stem cells are undifferentiated cells that are collected from a tissue or organ.  They can renew themselves and can differentiate into specialized cell types of the tissue or organ.  For example, if the stem cells are collected from the liver, they can change into liver cells under the right condition.  If they are from the blood, they can change into various types of blood cells.  That is how you can use them for therapy.
Embryonic stem cells can be collected from the umbilical cord after a child is born.  During child birth, once the umbilical cord is cut, the doctor can collect blood from the umbilical cord that is still attached to the mother.  It only takes 5 minutes to collect and many stem cells can be separated and preserved.  However, the amount of stem cells is dependent upon the amount of blood that can be collected.
Adult stem cells can be collected during normal blood drawn procedure, similar to blood donation.  However, the amount that can be collected is less than those collected from the umbilical cord.  Furthermore, the ability for adult stem cells to change into specific tissue or organ is also limited.  Other method of collecting adult stem cells include collection from the bone marrow, dental roots, fat and the area of the belly button known as Wharton’s jelly.
Who should collect stem cells?  Dr. Siripat advised that you should check your family history for leukemia or thalassemia.  Especially in Thailand and the rest of Southeast Asia, 30 – 40% of the population are carriers for thalassemia with 5 – 10% are severely affected.  If the parents carry the gene for thalassemia, it may be more beneficial than the families that do not carry the gene.
Dr. Siripat also urged pregnant moms to take good care of your bundle of joy and consult your obstetrician if you want to collect stem cells from the umbilical cord.  Good nutrition during pregnancy will encourage healthy babies with normal weight gain.  The umbilical cord will be nice and large, making it easy to collect lots of blood.  Restlessness and stress, however, will be obstacles in the development.
Furthermore, there are also some conditions that may not be suitable for stem cell collection after birth, such as abnormal bleeding caused by premature detachment of the placenta and placenta previa where the placenta is too close to the cervix.  In such cases, it may not be safe for the mother to lose more blood.
So Moms, if you want to learn more about saving those precious stem cells for your child, please consult your obstetrician soon so you won’t regret your decisions later.  For now, eating all the food groups, drinking lots of water, and enough rest and relaxation are just what the doctor prescribed!

เลี้ยงลูกอย่างไร ให้เก่งและ…ดี


“Happy Birthday to you…” เสียงเพลงอวยพรวันเกิดเซ็งแซ่ ด้วยเสียงของเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มาร่วมงานเลี้ยงปีนี้ น้องปลา อายุ 5 ขวบแล้ว รู้เรื่องสารพัด คุณครูประจำชั้นบอกว่า น้องปลามีแววเป็นผู้นำในอนาคต นักบริหารจัดการที่ดี แต่ต้องฝึกกติกา มารยาทอีกนิดหน่อย
การเลี้ยงลูกนับเป็น “อาชีพ” หลักของคุณพ่อคุณแม่ ไม่แพ้อาชีพที่ทำงานเลยทีเดียว ไอเกิล ฉบับนี้โชคดีมากค่ะที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับ แพทย์หญิงเบญจมาศ พิศาลสารกิจ กุมารแพทย์ ของโรงพยาบาลสมิติเวช เรื่องเคล็ด (ไม่) ลับในการเลี้ยงลูก ซึ่งควรจะเป็นอาชีพหลักของพ่อแม่โดยตรงและมีขั้นตอนที่ต้องอาศัยความอดทนและเสียสละอย่างสูง
ความพร้อมของพ่อแม่
พ่อแม่ คือ ผู้ปกครองของลูก ผู้ปกครอง หมายถึง ผู้ดูแลคุ้มครองปกป้องให้พ้นภัย ทุกคนที่แต่งงานแล้วอยากจะมีลูก ควรดูพฤติกรรมของตัวเองก่อนว่าพร้อมหรือยัง “ก่อนจะมีลูกต้องมั่นใจว่า สามารถรักลูกได้เต็มร้อย โดยไม่หวังผลตอบแทน และขณะนี้ตนเองพร้อมที่จะสละความเคยชินเดิมๆ หรือไม่ ถ้ายังชอบเที่ยวกันทั้งคู่ ก็อย่าเพิ่งมี เพราะการมีลูกไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ทั้งพ่อและแม่ต้องช่วยกันดูแล ตั้งแต่ตั้งท้องจนคลอดและจนลูกโต 5-6 ขวบนั่นแหละที่พ่อแม่จะเริ่มเที่ยวได้อีก คุณพ่อเองก็ต้องเข้าใจว่าตอนช่วงลูกยังเล็กอยู่ ทำไมคุณแม่ถึงไปเที่ยวด้วยไม่ได้ และตัวเองก็ควรเที่ยวให้น้อยลง”
ช่วงตั้งท้อง
หูของเด็กจะพัฒนาเร็วที่สุด ในขณะที่ลูกตาจะพัฒนาช้ากว่า “ในช่วงหลัง 8 อาทิตย์ ของการตั้งครรภ์ ควรเริ่มเปิดเพลงให้ลูกฟัง โดยเฉพาะเพลง classic ทั้งไทยและเทศ ที่มีจังหวะไม่กระทุ้งมาก จะช่วยให้เด็กพัฒนาได้เร็ว คือช่วยกระตุ้นสมองให้รับรู้ได้เร็วขึ้น แต่เสียงที่ดีที่สุดและถูกที่สุด ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยก็คือ เสียงของพ่อแม่นั่นเอง ซึ่งจะช่วยสื่อสารกับลูกได้ โดยเฉพาะเสียงของแม่ เป็นเสียงที่ลูกจะ happy ที่สุด ที่จะได้ยิน คุณแม่ควรพูดกับลูกในครรภ์ด้วยเสียงเบาๆ ทุ้มๆ เนิบๆ เพราะจะทำให้ลูกสงบ”
ช่วงคลอดลูก
การสัมผัสลูกในช่วงนี้ เช่น การให้นมลูกและการอุ้มลูก จะเป็นภูมิคุ้มกันและสร้างสายสัมพันธ์กับลูกไปตลอดชีวิต “ที่สมิติเวช พอคลอดลูกออกมาปั๊บ เราให้ลูกดูดนมแม่ทันที ถ้าต้องผ่าออก เราก็จะให้กอดลูกและให้ดูดนมสักนิดหนึ่งก่อน และขอให้พ่ออยู่ด้วย เราเน้นเรื่องการให้นมแม่มากๆ เพราะการให้นมแม่นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว แม่ยังได้ใกล้ชิดกับลูก การให้นมลูกในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่าง แม่-ลูก ซึ่งจะเป็น natural bonding ตลอดจนเป็นภูมิคุ้มกันความประพฤติของลูกในอนาคต เวลาลูกทำผิดลูกจะนึกได้เองว่า เอ๊ะ แม่จะเป็นทุกข์แค่ไหน และ natural bonding นี่เองที่จะทำให้แม่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าลูกจะออกนอกลู่นอกทาง” การเลี้ยงลูกต้องมีพื้นที่เหมาะสมและปลอดภัย คือมี safety ต่างๆ เช่น ปลั๊กไฟมีฝาปิด มุมโต๊ะหุ้มไม่ให้แหลม ห้องเด็กเป็นสัดเป็นส่วน มีอากาศระบายอย่างดี มีที่ให้เด็กวิ่งเล่น ฯลฯ
ช่วงหล่อหลอมพฤติกรรม
นิสัยของลูกนั้น 50% มีพื้นฐานอารมณ์ตั้งแต่เกิด เรียกได้ว่าเป็นกรรมหรือสัญชาตญาณที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด อีก 50% สามารถสร้างได้โดยพ่อแม่และสิ่งแวดล้อม ช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบคือช่วงที่ลูกมีพฤติกรรมเลียนแบบสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ 3 ขวบแรก คือ ช่วงที่สำคัญที่จะสร้างเด็กให้เป็นคนเต็มคน มีความดี ความเก่ง “ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลูกเลียนแบบจากสิ่งแวดล้อม และสามารถมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศได้ โดยเฉพาะลูกชายที่ให้อยู่กับพี่เลี้ยงซึ่งเป็นผู้หญิงมากเกินไป ลูกชายต้องการ father figure เพราะฉะนั้น คุณพ่อควรดูแลลูกชายอย่างใกล้ชิด เป็นตัวอย่างให้ลูก สอนให้ลูกเห็น ผู้ชายต้องเดินอย่างนี้ กิริยาท่าทาง การแต่งกายอย่างนี้ สำหรับลูกสาว ต้องให้ดูแม่เป็นต้นแบบ ”
การเลี้ยงลูกในช่วงนี้ต้องไม่ใช้อารมณ์พ่อแม่ต้องสงบใจ “ต้องอดทนที่จะดูแลลูก และให้การยอมรับ ไม่ว่าลูกเราจะอ้วนเตี้ยดำขาว เลี้ยงง่ายหรือเลี้ยงยาก ยังไงเขาก็เป็นลูกเรา ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก ลูกกินข้าวแป๊บๆ แล้วอิ่ม ก็ต้องเก็บโต๊ะ และรอจนถึงมื้อหน้า เพื่อฝึกหัดนิสัยการกินให้ถูกต้อง ถ้าลูกทำอะไรที่ไม่ดี อย่าตีลูก ให้อธิบายลูกว่าทำไมไม่ดีและอย่าทำอีก”
นอกจากนี้พ่อแม่ควรยอมรับในขีดความสามารถของลูก อย่าคิดว่าลูกคนอื่นทำได้แล้วลูกฉันต้องทำได้ด้วย อาจารย์ยังให้ข้อคิดเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “การอ่านนิทานสอนใจ อย่างนิทานอีสป (Aesop’s Fables) และการร้องเพลงกล่อมลูกให้นอนหลับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกสงบและหลับสบาย”
“นอกจากนี้พ่อแม่ควรเป็นต้นแบบในการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อ มีศีิลธรรม อยู่ในคำสั่งสอนของศาสนา ตลอดจนสอนให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง ไม่ว่าจะคืบ คลาน ตั้งไข่ ต่างๆ พ่อแม่ช่วย support แต่ต้องให้ลูกคิดเอง ทำเอง ที่สำคัญพ่อแม่ต้องรู้ว่าลูกวัยไหนควรทำอะไรได้บ้าง ในสมุด vaccine ประจำตัวที่เด็กต้องฉีดเป็นช่วงๆ จะมีบอกไว้เพื่อให้พ่อแม่ได้สังเกตการพัฒนาของลูก”
ลูกควรมีกิจกรรมที่เหมาะสมกับอายุด้วย “การที่ลูกมีกิจกรรมต่างๆ จะช่วยให้ลูกพัฒนาทั้งทางร่างกายและจิตใจได้ดี เช่น การเล่นตั้งเตจะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ เพราะมีการ synchronize balance ของตัวเอง สนับสนุนการทำกิจกรรมกับครอบครัว กับเพื่อน กับชุมชน คือให้เกิดการร่วมมือ ให้เรียนรู้การทำงานเป็นหมู่ ทำให้ลูกอยู่ร่วมกันในสังคมได้ การสอนให้ลูกมีอารมณ์ขันจะช่วยให้ลูกเข้ากับคนอื่นได้ดียิ่งขึ้น ควรพาลูกไปทัศนาจรปีละครั้ง ยิ่งไปต่างจังหวัดยิ่งดี ทำให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น พ่อแม่ไม่ควรบ้าซื้อของเล่นให้ลูก ควรให้ลูกหัดทำเอง”
เรื่องสุขภาพของลูกก็เป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้ส่วนมากร่างกายจะแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย ถ้าจะมีก็จะเป็นเรื่องไข้หวัดธรรมดา ท้องเสีย ฯลฯ ดังนั้น ต้องดูแลสุขอนามัยของลูกให้ดีด้วย “นอกจากวัคซีนต่างๆ ที่ลูกควรได้รับตามวัยแล้ว ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้งด้วย”
การศึกษา
เลือกโรงเรียนที่เหมาะสมกับลูก ควรหัดให้ลูกมีระเบียบ ถึงเวลาไหนต้องทำอะไร ถ้าลูกยังไม่มีการ training ควรเลือกโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อย จะได้มีคนดูแล “อย่ายัดเยียดการเรียนพิเศษให้ลูก เสริมวิชาที่เขาชอบ วิชาไหนอ่อนให้พอผ่านได้ก็พอ ไม่ต้องดีเลิศ ฝึกให้ลูกมีการผ่อนคลายด้วยการเรียนศิลปะ หรือ ดนตรี ควรพูดคุยและรับฟังลูก อย่าคิดว่าลูกเถียง แต่ต้องสอนลูกให้รับคำติชมได้ ไม่พูดสอดกลางคัน ต้องรู้จักการ ‘รอ’ รอเข้าคิว รอฟังคำอธิบายได้ ที่สำคัญที่สุดต้องสอนให้ลูกมี ‘หิริ โอตัปปะ’ คือ ละอายต่อบาปที่ทำทั้งในที่ลับและที่แจ้ง พ่อแม่ควรรับประทานอาหารพร้อมลูก โดยเฉพาะมื้อเย็น พูดคุยกันบ้างแล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ จะช่วยให้มีสัมพันธภาพที่ดี”
เรื่องการเลี้ยงลูกให้เก่งให้ดีนี่คงต้องพูดกันเป็นปีๆ เลยกว่าคุณพ่อคุณแม่จะหายห่วง แต่ถ้าพ่อแม่เตรียมพร้อมเหนื่อยตอนแรกเริ่มที่พ่อแม่ยังมีกำลัง ดีกว่าเหนื่อยและกลุ้มใจตอนลูกโตจริงไหมคะ
แพทย์หญิงเบญจมาศ พิศาลสารกิจ กุมารแพทย์ ของโรงพยาบาลสมิติเวช
คุณหมอคนเก่งของไอเกิลฉบับนี้คือคุณหมอเบญจมาศค่ะ อาจารย์ดูแลรักษาเด็กๆ มาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแทบจะนับไม่ถ้วนแล้วค่ะ เพราะหลังจากอาจารย์ได้รับพระราชทานปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว อาจารย์ได้รับ Diplomate American Board of Pediatrics, Fellowship in Neonatology อีกด้วยค่ะ ข้อคิดที่อาจารย์มอบให้เป็นของขวัญ ‘วันแม่’สำหรับคุณแม่มือใหม่ในฉบับนี้มีค่ามากเลยนะคะ เพราะเป็นรายละเอียดเคล็ดลับปลีกย่อยที่คุณพ่อคุณแม่ต้องไปศึกษาเอาเอง แต่อาจารย์ให้ความสำคัญในเรื่องการอบรมลูกควบคู่กับการให้ลูกดื่มนมแม่มากๆ เลยค่ะ ความที่รักเด็กและความหวังที่จะให้เด็กๆ เติบโตอย่างมีทั้งสุขอนามัยและพฤติกรรมที่ดี ในยามว่างเราจะเห็นอาจารย์เข้าร่วมกิจกรรม CSR (Corporate Social Responsibility) ตรวจสุขภาพในวันเด็กที่สมิติเวช สุขุมวิท จัดอย่างต่อเนื่องกว่า 11 ปี ให้กับเด็กๆ ในชุมชนใกล้เคียง
อาจารย์ฝากทิ้งท้ายให้กับคุณพ่อคุณแม่ว่า ‘ถึงเวลาที่ลูกจะเลือกอาชีพการงาน ต้องให้เขาเลือกเอง ควรแนะนำให้ expose กับอาชีพต่างๆ จะได้เลือกได้เหมาะสม’

เรื่องที่ไม่ควรยอม “แพ้”


ถ้าถึงวันสำคัญของคุณ แต่อยู่ๆ ตื่นขึ้นมาก็มีอาการจาม นํ้ามูกไหลหรือตาแฉะ เพราะเผลอเรอไม่ดูแลตัวเองให้ดี ปล่อยให้โรค “ภูมิแพ้” กำเริบขึ้นมา ทำให้เสียงานเสียการ คุณจะไปโทษใครได้!
กลไกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การเกิดการแพ้เป็นผลที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ในพันธุกรรมในยีน (gene) ซึ่งแสดงออกมาทางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตามปกติแล้วแต่ละคนจะมีระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ควบคุมการป้องกันตัวเองของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันนี้มีหน้าที่จดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายเราหรือเป็นสารก่อภูมิแพ้ allergen และสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อ allergen โดยการสร้างสาร antibody ที่เรียกว่า Immunoglobulin E (IgE) ซึ่งไปกระตุ้น Mast Cell ให้มีการหลั่งสาร Histamine ตามเนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา จมูก และปอด โดยออกอาการต่างๆ กัน ตั้งแต่เป็นผื่นคันตามผิวหนัง เรื่อยไปจนถึงหายใจไม่ออก ซึ่งบางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ สาร IgE นี้ มีหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีเรดาร์ที่เจาะจงกับสารที่แพ้แต่ละชนิด ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนแพ้แค่สารบางอย่างเท่านั้นหรือบางคนแทบไม่แพ้อะไรเลย ในปัจจุบันคนในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้ และมีแนวโน้มที่จะเป็นมากขึ้นรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราลองมาทำความรู้จักกันก่อนว่าภูมิแพ้มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ภูมิแพ้จมูกอักเสบ Allergic Rhinitis
ภูมิแพ้ชนิดนี้พบได้บ่อยที่สุด อาจจะเป็นตามฤดูกาล หรือเป็นตลอดปีก็ได้ ถ้าเป็นตามฤดูกาลจะเรียกอีกอย่างว่า hay fever ซึ่งบางคนจะเป็นเฉพาะหน้าฝน หรือหน้าหนาว อาการที่พบได้คือมีอาการจาม คัดจมูก นํ้ามูกไหล และมีอาการคันจมูก คันตา หรือบางคนมีอาการคันที่เพดานปากด้วย สำหรับคนที่มีอาการอยู่ตลอดทั้งปี จะสัมพันธ์กับการได้รับสารก่อภูมิแพ้อยู่ตลอด เช่น ในห้องนอน หรือที่บ้าน ที่ทำงาน เช่น การสัมผัสกับไรฝุ่นบ้านหรือเชื้อรา หรือสัตว์เลี้ยงในบ้าน โรคที่พบได้ต่อเนื่องจากการเกิดการแพ้ ทางจมูก คือ ไซนัสอักเสบ และหูชั้นกลางอักเสบ Sinusitis and Otitis Media โดยจะมีอาการบวมของเยื่อบุในโพรงไซนัส และทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา หากปล่อยทิ้งไว้เรื้อรังโดยเฉพาะในเด็ก จะทำให้เกิพัฒนาการด้านการพูดผิดปกติได้
ภูมิแพ้ทางตา Allergic Conjunctivitis
เมื่อเนื้อเยื่อตาไปโดนสารก่อภูมิแพ้แล้วทำให้มีอาการบวม แดง คันตา นํ้าตาไหล เช่นเดียวกับการเป็นผื่นแพ้ที่ผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัส ซึ่งจะมีอาการคัน บวม แดงเป็นผื่นหรือผิวลอกที่ผิวหนัง กลุ่มที่เป็นแบบนี้มีโอกาสที่จะเกิดหอบหืดได้ในอนาคตประมาณ 50%
ลมพิษ Urticaria
ส่วนใหญ่จะเกิดจากการแพ้อาหาร หรือแพ้ยา ลักษณะเป็นรอยนูนแดงบนผิวหนังตามตัวเป็นรอยนูน ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง
หอบหืด Asthmaนับว่าเป็นโรคปอดชนิดหนึ่งที่พบบ่อยในเด็ก โดยมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก และมีเสียงดังเวลาหายใจที่เรียกว่า wheezing กว่า 78% ของคนที่เป็นหอบหืดจะมีอาการภูมิแพ้ของจมูกด้วย
เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการของหอบหืด จะทำให้หลอดลมทางเดินหายใจตีบแคบลงทำให้หายใจลำบาก เมื่อคุณสูดหายใจเอาสารที่แพ้เข้าไป อาการบวมของทางเดินหายใจจะยิ่งเป็นมากขึ้น และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากนี้ยังจะเกิดจากการติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือเกิดจากได้รับการระคายเคืองจากควัน หรือควันบุหรี่ด้วยสารก่อภูมิแพ้ การที่จะดูแลเพื่อป้องกันโรคภูมิแพ้กำเริบได้นั้น จำเป็นจะต้องรู้เรื่องสารที่ทำให้เกิดการแพ้ เพื่อหลีกเลี่ยง สารก่อภูมิแพ้สามารถแบ่งง่ายๆ ได้เป็นสองกลุ่ม คือ
1. สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ภายนอกบ้าน outdoor allergens มักจะเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ตามฤดูกาล เนื่องจากละอองของเกสรดอกไม้ เกสรดอกหญ้า หรือจากเชื้อราที่อยู่ภายนอกบ้าน
2. สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ภายในบ้าน indoor allergens
- ไรฝุ่นบ้าน ไรฝุ่นบ้านเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้
อาการหอบหืด ภายในบ้านจะพบไรฝุ่นได้ทั่วไป โดยเฉพาะในห้องนอน เตียงนอน หมอนหรือเฟอร์นิเจอร์นุ่มๆ
- สัตว์เลี้ยงที่มีขน คนที่เป็นภูมิแพ้ส่วนหนึ่งจะแพ้ขนสัตว์ เช่น ขนสุนัข ขนแมว แต่บางคนนอกจากแพ้ขนแล้ว ยังมีการแพ้ที่เกิดจากการแพ้นํ้าลาย หรือแพ้ปัสสาวะ แพ้ผิวหนังที่หลุดลอกของสัตว์เลี้ยง หรือเสื้อผ้าขนสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่จะออกอาการภายในไม่กี่นาทีหลังจากการสัมผัส ในบางราย อาการเริ่มต้นขึ้นช้าๆ แต่มีอาการรุนแรงขึ้นภายหลังสัมผัสไปแล้ว 8-12 ชั่วโมง บางคนมีอาการขณะที่อยู่นอกบ้าน
เนื่องจากไปสัมผัสถูกเสื้อผ้าของคนอื่นที่มีผิวของสัตว์ติดอยู่ที่เสือผ้า
- แมลงสาบ สารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบจะเป็นอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด โดยเฉพาะในเด็ก
- เชื้อรา เชื้อราที่อยู่ในบ้านจะอยู่ในที่อับชื้น เช่น ห้องนํ้า ห้องครัว บริเวณใต้ถุนบ้าน
ต้องไม่ยอม “แพ้” ทางที่ดีที่สุดของคนเป็นโรคภูมิแพ้ คือ ถ้ารู้ตัวว่าเคยแพ้อะไร ก็ให้หลีกเลี่ยงสิ่งนั้นหรือกิจกรรมที่จะทำให้เราเกิดภูมิแพ้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการซักปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนให้สะอาดและแห้งสนิท ดูแลบ้านช่องให้มีอากาศถ่ายเท ไม่อับชื้น หรือ ยอมไม่ให้สัตว์เลี้ยงแสนรักมาป้วนเปี้ยนใกล้ที่นอน หมอน มุ้ง สวมหน้ากากเวลาทำความสะอาด ที่ง่ายที่สุดคือให้คนอื่น ที่ไม่เป็นภูมิแพ้ทำแทน
ที่สำคัญคือ ควรเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศ หรือเครื่องปรับอากาศที่มีแผ่นกรองอากาศความละเอียดสูง ซึ่งบางชนิดจะมีระบบปล่อยไฮโดรเจน และออกซิเจนไอออนออกมาในอากาศ เพื่อช่วยยับยั้งการแพร่เชื้อโรคในอากาศ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือ สารก่อภูมิแพ้ ได้อีกด้วย
สุดท้ายคือ การหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ การพักผ่อนให้เพียงพอและการออกกำลังกายเป็นประจำรับประทานยาแก้แพ้ เมื่อมีอาการหรือเมื่อต้องเจอสารที่แพ้ ถ้ากำเริบมากๆ ยาที่ใช้เป็นประจำเอาไม่อยู่ ต้องรีบพบแพทย์ทันที
ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Flu) ปีละครั้งเพื่อป้องกันการเป็นไข้หวัดซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันด้วย

เรื่องที่ไม่ควรยอม “แพ้”


ถ้าถึงวันสำคัญของคุณ แต่อยู่ๆ ตื่นขึ้นมาก็มีอาการจาม นํ้ามูกไหลหรือตาแฉะ เพราะเผลอเรอไม่ดูแลตัวเองให้ดี ปล่อยให้โรค “ภูมิแพ้” กำเริบขึ้นมา ทำให้เสียงานเสียการ คุณจะไปโทษใครได้!
กลไกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การเกิดการแพ้เป็นผลที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ในพันธุกรรมในยีน (gene) ซึ่งแสดงออกมาทางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตามปกติแล้วแต่ละคนจะมีระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ควบคุมการป้องกันตัวเองของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันนี้มีหน้าที่จดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายเราหรือเป็นสารก่อภูมิแพ้ allergen และสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อ allergen โดยการสร้างสาร antibody ที่เรียกว่า Immunoglobulin E (IgE) ซึ่งไปกระตุ้น Mast Cell ให้มีการหลั่งสาร Histamine ตามเนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา จมูก และปอด โดยออกอาการต่างๆ กัน ตั้งแต่เป็นผื่นคันตามผิวหนัง เรื่อยไปจนถึงหายใจไม่ออก ซึ่งบางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ สาร IgE นี้ มีหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีเรดาร์ที่เจาะจงกับสารที่แพ้แต่ละชนิด ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนแพ้แค่สารบางอย่างเท่านั้นหรือบางคนแทบไม่แพ้อะไรเลย ในปัจจุบันคนในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้ และมีแนวโน้มที่จะเป็นมากขึ้นรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราลองมาทำความรู้จักกันก่อนว่าภูมิแพ้มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ภูมิแพ้จมูกอักเสบ Allergic Rhinitis
ภูมิแพ้ชนิดนี้พบได้บ่อยที่สุด อาจจะเป็นตามฤดูกาล หรือเป็นตลอดปีก็ได้ ถ้าเป็นตามฤดูกาลจะเรียกอีกอย่างว่า hay fever ซึ่งบางคนจะเป็นเฉพาะหน้าฝน หรือหน้าหนาว อาการที่พบได้คือมีอาการจาม คัดจมูก นํ้ามูกไหล และมีอาการคันจมูก คันตา หรือบางคนมีอาการคันที่เพดานปากด้วย สำหรับคนที่มีอาการอยู่ตลอดทั้งปี จะสัมพันธ์กับการได้รับสารก่อภูมิแพ้อยู่ตลอด เช่น ในห้องนอน หรือที่บ้าน ที่ทำงาน เช่น การสัมผัสกับไรฝุ่นบ้านหรือเชื้อรา หรือสัตว์เลี้ยงในบ้าน โรคที่พบได้ต่อเนื่องจากการเกิดการแพ้ ทางจมูก คือ ไซนัสอักเสบ และหูชั้นกลางอักเสบ Sinusitis and Otitis Media โดยจะมีอาการบวมของเยื่อบุในโพรงไซนัส และทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา หากปล่อยทิ้งไว้เรื้อรังโดยเฉพาะในเด็ก จะทำให้เกิพัฒนาการด้านการพูดผิดปกติได้
ภูมิแพ้ทางตา Allergic Conjunctivitis
เมื่อเนื้อเยื่อตาไปโดนสารก่อภูมิแพ้แล้วทำให้มีอาการบวม แดง คันตา นํ้าตาไหล เช่นเดียวกับการเป็นผื่นแพ้ที่ผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัส ซึ่งจะมีอาการคัน บวม แดงเป็นผื่นหรือผิวลอกที่ผิวหนัง กลุ่มที่เป็นแบบนี้มีโอกาสที่จะเกิดหอบหืดได้ในอนาคตประมาณ 50%
ลมพิษ Urticaria
ส่วนใหญ่จะเกิดจากการแพ้อาหาร หรือแพ้ยา ลักษณะเป็นรอยนูนแดงบนผิวหนังตามตัวเป็นรอยนูน ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง
หอบหืด Asthmaนับว่าเป็นโรคปอดชนิดหนึ่งที่พบบ่อยในเด็ก โดยมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก และมีเสียงดังเวลาหายใจที่เรียกว่า wheezing กว่า 78% ของคนที่เป็นหอบหืดจะมีอาการภูมิแพ้ของจมูกด้วย
เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการของหอบหืด จะทำให้หลอดลมทางเดินหายใจตีบแคบลงทำให้หายใจลำบาก เมื่อคุณสูดหายใจเอาสารที่แพ้เข้าไป อาการบวมของทางเดินหายใจจะยิ่งเป็นมากขึ้น และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากนี้ยังจะเกิดจากการติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือเกิดจากได้รับการระคายเคืองจากควัน หรือควันบุหรี่ด้วยสารก่อภูมิแพ้ การที่จะดูแลเพื่อป้องกันโรคภูมิแพ้กำเริบได้นั้น จำเป็นจะต้องรู้เรื่องสารที่ทำให้เกิดการแพ้ เพื่อหลีกเลี่ยง สารก่อภูมิแพ้สามารถแบ่งง่ายๆ ได้เป็นสองกลุ่ม คือ
1. สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ภายนอกบ้าน outdoor allergens มักจะเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ตามฤดูกาล เนื่องจากละอองของเกสรดอกไม้ เกสรดอกหญ้า หรือจากเชื้อราที่อยู่ภายนอกบ้าน
2. สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ภายในบ้าน indoor allergens
- ไรฝุ่นบ้าน ไรฝุ่นบ้านเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้
อาการหอบหืด ภายในบ้านจะพบไรฝุ่นได้ทั่วไป โดยเฉพาะในห้องนอน เตียงนอน หมอนหรือเฟอร์นิเจอร์นุ่มๆ
- สัตว์เลี้ยงที่มีขน คนที่เป็นภูมิแพ้ส่วนหนึ่งจะแพ้ขนสัตว์ เช่น ขนสุนัข ขนแมว แต่บางคนนอกจากแพ้ขนแล้ว ยังมีการแพ้ที่เกิดจากการแพ้นํ้าลาย หรือแพ้ปัสสาวะ แพ้ผิวหนังที่หลุดลอกของสัตว์เลี้ยง หรือเสื้อผ้าขนสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่จะออกอาการภายในไม่กี่นาทีหลังจากการสัมผัส ในบางราย อาการเริ่มต้นขึ้นช้าๆ แต่มีอาการรุนแรงขึ้นภายหลังสัมผัสไปแล้ว 8-12 ชั่วโมง บางคนมีอาการขณะที่อยู่นอกบ้าน
เนื่องจากไปสัมผัสถูกเสื้อผ้าของคนอื่นที่มีผิวของสัตว์ติดอยู่ที่เสือผ้า
- แมลงสาบ สารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบจะเป็นอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด โดยเฉพาะในเด็ก
- เชื้อรา เชื้อราที่อยู่ในบ้านจะอยู่ในที่อับชื้น เช่น ห้องนํ้า ห้องครัว บริเวณใต้ถุนบ้าน
ต้องไม่ยอม “แพ้” ทางที่ดีที่สุดของคนเป็นโรคภูมิแพ้ คือ ถ้ารู้ตัวว่าเคยแพ้อะไร ก็ให้หลีกเลี่ยงสิ่งนั้นหรือกิจกรรมที่จะทำให้เราเกิดภูมิแพ้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการซักปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนให้สะอาดและแห้งสนิท ดูแลบ้านช่องให้มีอากาศถ่ายเท ไม่อับชื้น หรือ ยอมไม่ให้สัตว์เลี้ยงแสนรักมาป้วนเปี้ยนใกล้ที่นอน หมอน มุ้ง สวมหน้ากากเวลาทำความสะอาด ที่ง่ายที่สุดคือให้คนอื่น ที่ไม่เป็นภูมิแพ้ทำแทน
ที่สำคัญคือ ควรเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศ หรือเครื่องปรับอากาศที่มีแผ่นกรองอากาศความละเอียดสูง ซึ่งบางชนิดจะมีระบบปล่อยไฮโดรเจน และออกซิเจนไอออนออกมาในอากาศ เพื่อช่วยยับยั้งการแพร่เชื้อโรคในอากาศ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือ สารก่อภูมิแพ้ ได้อีกด้วย
สุดท้ายคือ การหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ การพักผ่อนให้เพียงพอและการออกกำลังกายเป็นประจำรับประทานยาแก้แพ้ เมื่อมีอาการหรือเมื่อต้องเจอสารที่แพ้ ถ้ากำเริบมากๆ ยาที่ใช้เป็นประจำเอาไม่อยู่ ต้องรีบพบแพทย์ทันที
ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Flu) ปีละครั้งเพื่อป้องกันการเป็นไข้หวัดซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันด้วย

การดูแลเส้นผม

เรื่องผมเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หน้าตาหลายคนเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพียงแค่เปลี่ยนทรงผมใหม่ หลายคนมีบุคลิกที่ดูน่าภูมิฐาน ด้วยทรงผม และเส้นผมที่ดูดี
แต่ถ้าหากมีปัญหากับเส้นผมแล้ว บุคลิกภาพที่ดูดีก็จะเปลี่ยนไปเหมือนกัน
ทำให้ทุกคนใส่ใจกับการดูแลเส้นผมของตัวเอง ข้อมูลจากสหรัฐอเมริก พบว่ามีการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการเกี่ยวกับเส้นผมปีหนึ่ง รวมแล้ว 50000 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
นอกจากเรื่องของความสวยความงามแล้ว เส้นผม ยังมีหน้าที่ป้องกันหนังศีรษะจากแสงแดด จากฝุ่น และจากแมลง นอกจากนี้ยังสามารถบอกถึงสุขภาพของเจ้าของผมด้วย เช่นโรคบางชนิด ภาวะโลหิตจาง การขาดสารอาหาร หรือความผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิด
โครงสร้างของเส้นผม

ผมงอกขึ้นมาจากรูขุมขนที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง ที่ฐานของเส้นผมจะมีเส้นเลือดมาเลี้ยงเซลล์ซึ่งส่วนนี้มีชีวิต ในขณะที่เส้นผมที่งอกออกมาไม่มีชิวต และสร้างจากโปรตีนที่เรียกว่า keratin โดยสามารถแบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นในเรียกว่า medulla ชั้นกลางเรียกว่า cortex และชั้นนอกสุดเรียกว่า cuticle ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันผม นอกจากนี้ยังมีน้ำมันที่เคลือบอยู่ด้านนอกที่ทำให้ผมเงางาม ที่รอบ ๆ โคนผมในผิวหนังจะมีกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ทำให้เกิดอาการขนลุกได้ โดยกล้ามเนื้อเหล่านี้เมื่อหดตัวจะบีบน้ำมันที่ต่อมออกมาหล่อลื่นเส้นลม เรียกว่า sebum ซึ่งจะมีวิตามิน E ประกอบอยู่ในส่วนนี้ แต่ละคนมีรูขุมขนที่ศีรษะอยู่เฉลี่ยแล้วจะมีประมาณ 150,000 และในหนึ่งปีผมจะยาวขึ้นโดยเฉลี่ย 6 นิ้วต่อปี โดยในช่วงวัยรุ่นผมจะยาวได้เร็วกว่า
ผมร่วง หัวล้าน
โดยธรรมชาติของการสร้างเส้นผม จะแบ่งเป็นสองระยะ คือระยะพัก และระยะที่มีการสร้างเส้นผม
ส่วนหนึ่งของเรื่องนี้มาจากเรื่องพันธุกรรม และเรื่องเพศ ผู้ชายมากกว่า 80% จะสามารถพบหัวล้านแบบใดแบบหนึ่งได้ ผู้หญิงประมาณ 40% ภายหลังหมดประจำเดือนแล้วจะมีผลน้อยลง

ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมร่วงคือฮอร์โมนเพศชาย androgen
อีกส่วนหนึ่งคือ DHT ซึ่งเป็นสารที่มาจากฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ที่มากเกินไป ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้เซลล์ที่โคนผม อยู่ในระยะพัก มากกว่าระยะของการสร้างเส้นผม และทำลายเซลล์ที่โคนผมให้เล็กลงด้วย
หัวล้านที่เกิดจากอายุ อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องอายุ แต่เป็นเรื่องของการขาดสารอาหารเช่น ในผู้หญิง อาจจะเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก โดยอาจจะมีโลหิตจางร่วมด้วย คนที่ได้รับการผ่าตัดอาจจะทำให้ผมร่วงได้ หญิงที่เข้าวัยทอง หรือหญิงหลังคลอดก็เช่นกัน นอกจากนี้อาจจะเกิดจากโรคเช่น SLE, ไทรอยด์ หรือ โรคกลุ่มอาการที่มีถุงน้ำที่รังไข่ PCOS

ดังนั้นถ้ามีผมร่วงมากกว่าปกติ อาจจะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโรคดังกล่าว ภาวะทางโภชนาการ หรือเรื่องเกี่ยวกับฮอร์โมน
ความผิดปกติของผิวหนังศีรษะ ที่มีลักษณะอักเสบมากกว่าปกติ ที่เรียกว่า Seborrheic dermatitis ก็จะทำให้ผมร่วงมากขึ้น
สำหรับเรื่อง ไทรอยด์ในเลือดต่ำกว่าปกติ ควรตรวจคัดกรองด้วยการตรวจระดับฮอร์โมน TSH ตอนอายุ 20 ปี อายุ 35 ปี และพออายุมากกว่า 50 ปีควรตรวจปีละครั้ง

สำหรับเรื่องการดูแลเส้นผม
สิ่งที่สำคัญมากกว่าการบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ คือการป้องกันไม่มีการทำลายของเส้นผม ที่พบบ่อยที่สุด คือเรื่องการสระผม การใช้ยาย้อมผม โดยเฉพาะน้ำยากัดสีผม การเป่าผมด้วยความร้อน
ลองดูหัวข้อต่อไปนี้เพื่อการสุขภาพผมที่ดี
1. practice good hair hygiene  
เราไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำคือการทำลายเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นการเป่าด้วยลมร้อน ๆ กัดสีผม ย้อมผม การเป่าลมร้อน ๆ ทำให้น้ำที่อยู่ภายใต้ชั้นนอก Cuticle กลายเป็นฟองน้ำและทำให้ผมฉีกขาดแตกปลาย ทางที่ดีคือใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมให้แห้งหมาดก่อน หากต้องเป่าลม ควรเลือกใช้ความร้อนที่น้อย ๆ ลองคิดว่าเส้นผมคือเสื้อผ้าไหม ที่ไม่ชอบให้ใช้เตารีดร้อนเกินไป การเลือกใช้แปรงผมที่เรียบหรือมีปลายกลมมนก็จะช่วยรักษาผมได้ และจะช่วยนวดผมและหนังศีรษะโดยไม่ทำลายมันด้วย
2. Examine your shampoo
คนทั่วไปเวลาสระผม ก็จะเปิดฝักบัวให้ผมเปียก เทแชมพู ล้างออก ใช้ครีมนวดผมอีกรอบ ถูสบู่ ล้างตัว เป็นเรื่องปกติของทุก ๆ คน แต่นั่นยังไม่ดีพอสำหรับการดูแลเส้นผม การสระผม ไม่ได้มีวิธีที่ถูกที่สุดวิธีใดวิธีหนึ่ง ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่แต่ละคนทำ ผลิตภัณฑ์จัดแต่งผมของแต่ละคน และลักษณะผมของแต่ละคน
  • ถ้าคุณสระผมทุกวัน จะทำให้แล้วทำให้ผมแห้งเกินไป อาจจะต้องสระผมวันเว้นวัน
  • ถ้าคุณมีหนังศีรษะที่ค่อนข้างมัน อาจจะต้องสระผมทุกวัน หรือ วันละสองครั้ง
  • ถ้าคุณใช้ครีมนวดผมทุกวัน คุณอาจจะสระผมทุกวันเหมือนเดิม แต่เลือกปรับที่ครีมนวดผมก็ได้
  • ถ้าคุณมีรังแค คุณควรจะสระผมทุกวัน การสระผมให้บ่อยขึ้นจะช่วยลดไขมัน sebaceous ที่เป็นต้นเหตุของรังแคได้
  • ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น  Ph balance และค่อนข้างอ่อน แต่ต้องเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ไม่ใช้สังเคราะห์ (Cyanide ถือเป็นของธรรมชาติ)
  • ลองเลือกแชมพู ที่มีส่วนประกอบที่มี Aubrey Organics, Quinessence, So organic, Avalon Organic และ Organic Excellence
3.Stay pure
นอกจากน้ำที่เราดื่มต้องสะอาดแล้ว ควรอาบน้ำที่สะอาดเช่นกัน  อาจจะใช้เครื่องกรองที่มีถ่าน charcoal เพื่อกรองคลอรีนสำหรับใช้อาบน้ำ เพราะคลอรีนจะทำให้ผมแห้ง เพราะ คลอรีน จะเปลี่ยนเป็นสารที่แรงกว่า ที่ชื่อ Trichloromethanes
4.Check your diet
การเลือกรับประทานอาหารที่มี omegs-3  เช่นปลา น้ำมันปลา จะทำให้ผมเงางามมากขึ้น นอกจากปลาแล้วยังสามารถเลือก walnut, flaxseed ปลาซาร์ดีน ไข่ นมไขมันต่ำ และชาเขียว ได้เช่นกัน
การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ จะทำให้มีการผลิตสาร DHT มากขึ้นทำให้มีการทำลาย hair follicle ที่สร้างเส้นผม ซึ่งจะให้มีหัวล้านได้
5.Check Hormone level
ถ้ามีปัญหาเรื่องผมร่วง หรือร่วงเป็นหย่อมๆ อาจจะเป็นอาการของความผิดปกติของฮอร์โมน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจระดับฮอร์โมนในเลือด โดยเฉพาะ ไทรอยด์
6.Slow Balding
ถ้าคุณมีผมร่วงมาก ๆ อาจจำเป็นต้องใช้ยาช่วย เช่น minoxidil หรือ propecia
Minoxidil จะช่วยให้เซลล์สร้างผมอยู่ในระยะสร้าง หรือ anagen มากขึ้น และทำให้ hair follicle ใหญ่ขึ้น ในขณะที่ propecia จะช่วยยับยั้งการเปลี่ยน testosterone ไปเป็น DHT  แต่ยานี้อาจจะมีผลข้างเคียงได้ จึงควรพบแพทย์ก่อนการใช้ยา
7.Add reinforcements
การใช้วิตามินช่วยเสริม โดยที่สำคัญกับเรื่องช่วยลดการเกิดผมร่วง คือ กลุ่มวิตามิน B6, biotin และ Folate จะช่วยลดการร่วงของผม ส่วน pantothenic acid และ niacin จะช่วยเพิ่มการสร้างผม เราสามารถได้วิตามินจากการทานผัก เช่นถั่วต่าง ๆ แครอท กระหล่ำดอก ไข่
อาหารเสริมอื่น ๆ เช่นสารสกัดจาก berries ต่าง ๆ หรือน้ำมันจาก อะโวคาโด แต่การวิจัยยังไม่ชัดเจนนัก บางวิจัยบอกว่า L-lysine จะช่วยให้ผมหนาขึ้น นอกจากนี้พริกไทยได้มีการทดลองในสัตว์ในการช่วยลดการมีผมร่วง
8.Know how to dye
  • ไม่ควรปล่อยให้ยาย้อมผิดอยู่นานเกินความจำเป็นในขณะย้อม
  • ใส่ถุงมือทุกครั้งที่ย้อมผม เพื่อป้องกันการสัมผัสการสารเคมีตรง ๆ
  • อย่าผสมผลิตภัณฑ์ย้อมผมหลาย ๆ ชนิดด้วยตัวเอง
9.DeFrost the flakes
การเกิดรังแคมาจากการอักเสบของหนังศีรษะ ซึ่งสัมพันธ์กับเชื้อราที่เชื่อว่า Malassezia furfur ซึ่งอาศัยอยู่ที่หนังศีรษะ การรกาคือการสระผมบ่อยๆ ด้วยยาสระผมที่มีตัวยาที่ควบคุมการเกิดรังแค ทำให้ลดอาการคันศีรษะ และลดการเกาหนังศีรษะ บางครั้งต้องเลือกซื้อแชมพูที่มีส่วนผสมของยาต้านเชื้อรา เช่น tar , selenium sulfide, zinc pyrithione, ketoconazole แต่ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ถ้าตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ถ้าตั้งครรภ์อยู่อาจทดลองใช้ชาเขียวซึ่งมีสาร polyphenol ใส่ที่หนังศีรษะ อาจจะช่วยได้
เขียนเรื่องแนวนี้ยากเหลือเกินสำหรับหมอหมี เขียนไปคิดไปว่า โกนผมไปเลยสิ้นเรื่อง อิิอิ
จาำก www.facebook/drcarebear

การดูแลรอยคล้ำรอบดวงตา


สาเหตุ
สาเหตุที่ทำให้มีรอยคล้ำและถุงใต้ตา เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ที่สำคัญก็คือ เมื่อทราบแล้วว่าอะไรที่
เป็นปัจจัยที่สามารถหลีกเลี่ยงหรือแ้ก้ไขได้ก็ควรจะแก้ไขปัจจัยนั้น หลายคนมีปัญหานี้เนื่องจากการ
ถ่ายทอดทางพันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดรอยคล้ำรอบดวงตาได้แก่

อ่อนเพลีย พักผ่อนนอนไม่พอ 
การนอนกไม่พอหรือว่าเหนื่อยเพลียเกินไป จะทำให้ผิวหนังซีดลง ทำให้สามารถเห็นเส้นเลือดดำที
อยู่ใต้ผิวหนังได้ชัดขึ้น บางครั้งอาจเห็นเป็นสีคล้ำ ๆ ได้

ภาวะโภชนาการ
การขาดสารอาหาร หรือได้รับอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการที่
ผิวรอบ ๆ ดวงตามีสีเปลี่ยนไปได้

ความเครียดและการสูบบุหรี่
ชีวิตที่เร่งรีบ การต้องใช้เวลา ๆ หลาย ๆ ชั่วโมงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็ทำให้มีอาการนี้
และจะสัมพันธ์กับการที่คุณนอนไม่หลับ หรือนอนไม่พออีกด้วย

พันธุกรรม
เช่นเดียวกับเรื่องเส้นเลือดขอดที่ขา การที่มีรอบตาดำมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมได้
ถ้ามีคนในครอบครัวที่เป็นแบบนี้ คุณก็มีโอกาสที่จะเป็นได้เช่นเดียวกัน ผิวหนังรอบดวงตา
ค่อนข้างบาง เมื่อเลือดผ่านไป เส้นเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวหนังจะทำให้เห็นรอยคล้ำขึ้นมา
ถ้าผิวคุณยิ่งบางซึ่งเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมา ก็จะทำให้เห็นรอยคล้ำได้ง่ายขึ้น

การได้รับแสงแดด
แม้กระทั่งในคนที่ผิวสีค่อนข้างเข้ม การได้รับแสงแดด โดยเฉพาะในบ้านเรา
จะทำให้มีเม็ดสี melanin มากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งที่รอบ ๆ ดวงตาก็เช่นเดียวกัน

ภูมิแพ้ หอบหืด ผื่นแพ้ผิวหนัง
ภาวะเหล่านี้จะทำให้มีอาการคันรอบ ๆ ดวงตา ทำให้มีรอยคล้ำรอบตา
เนื่องมาจากการเกา การขยี้ตา คนที่เป็นภูมิแพ้มาก ๆ จะเห็นได้ชัด
รวมถึงการแพ้อาหารบางประเภทก็ทำให้มีรอยคล้ำได้

ยาบางชนิด
จะเป็นกลุ่มยาที่ทำให้มีการขยายตัวของเส้นเลือด เพราะผิวหนังที่ค่อนข้างบางนั้น
เมื่อเส้นเลือดดำขยายตัวจะทำให้เห็นชัดมากขึ้นกว่าบริเวณอื่น

การตั้งครรภ์และการมีประจำเดือน
ผิวหนังจะซีดลงในช่วงนั้น เนื่องจากการเสียเลือดทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
ทำให้เส้นเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวหนังเห็นชัดขึ้น

อายุ
สำหรับคนที่มีแนวโน้มที่จะมีรอยคล้ำรอบดวงตา เมื่ออายุมากขึ้น ก็จะทำ
ให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นและอาจเป็นแบบถาวร รอยเหี่ยวย่นรอบใต้ตา
ก็จะยิ่งทำให้เห็นชัดเจนขึ้น

การดูแลตนเองเพื่อลดและป้องกันรอยคล้ำรอบดวงตา
การนอนหลับให้เพียงพอ
เรื่องการนอนหลับให้เพียงพอ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่เฉพาะการดูแลดวงตา แต่กับสุขภาพก็สำคัญเช่นกัน
การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
http://a1.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/156791_185729881438761_153027324709017_699641_5103176_n.jpg
ทานอาหารให้ครบทุกมื้อ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ กาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอืน

การประคบด้วยถุงชา
วิธีนี้ จะเป็นการใช้ถุงชา แช่ในน้ำเย็นที่มีสารสกัดจากแตงกวา แล้วนำมาวางไว้
ที่ตาประมาณ 15-20 นาที วันละครั้ง จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด
และลดการบวมรอบ ๆ ดวงตาได้

การกดรอบ ๆ ดวงตา Acupressure
เป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำง่าย ๆ โดยการหลับตาและใช้นิ้วนางกดไปบริเวณ
ใต้ดวงตาข้างหนึ่งจากมุมด้านในออกไปจนมุมด้านนอก  โดยกดแต่ละตำแหน่งประมาณ
3 วินาที ประมาณ 10-15 ครั้งแล้วก็ให้ทำกับอีกข้าง

การใช้ครีมรอบดวงตา
http://a3.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/148286_185728568105559_153027324709017_699637_1291931_n.jpg
การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินทั้งสอง คือ Retinal (Vitamin A) และ
Vitamin K จะช่วยลดริ้วรอย และลดรอยคล้ำได้ หรือใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ
Vitamin C ซึ่งมีสาร antioxidant ก็ได้ผลดีเช่นกัน

การประคบเย็นด้วยแตงกวา หรือ มะเขือเทศ
http://a7.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/148240_185728458105570_153027324709017_699635_3064267_n.jpg
เตรียมแตงกวา หรือมะเขือเทศ ที่ฝานบาง ๆ แช่ตู้เย็นไว้ มาประคบที่ตาประมาณ
10 นาที จะช่วยลดการบวมและลดรอยคล้ำใต้ตาได้ จากการหดตัวของเส้นเลือด

การใช้ moisturizer และการใช้ sunscreen เป็นประจำ
ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาเรื่องรอยคล้ำใต้ตาหรือไม่มี การที่ใช้ Moisturizer
และ ครีมกันแดด เป็นประจำเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

ที่เขียนมา หมอหมีทำได้แค่ นอน กับ กิน
ได้ทาครีมบ้าง แต่ให้ทำบ่อย ก็ขี้เกียจครับ แต่สาว ๆ ทั้งหลายสนใจวิธีไหน
เชิญตามสะดวก แล้วมาบอกผลกันบ้างนะครับ

จาำก www.facebook/drcarebear

ผิวหน้าสวย..ด้วยผลไม้










ผลไม้ นอกจากจะช่วยเพิ่มใยอาหารให้กับร่างกายแล้ว ยังสามารถช่วยทำให้ผิวหน้าของสาวๆ นุ่มเนียน กระจ่างใส ดูอ่อนกว่าวัยได้อีกด้วย แน่นอนว่าไม่มีผู้หญิงคนไหน ไม่อยากให้ตัวเองมีผิวหน้าเนียนสวยได้ยาวนาน ถ้าอย่างนั้นมาดูกันเลยว่าผลไม้ชนิดไหน ช่วยดูแลและบำรุงผิวหน้าของพวกเราได้อย่างไรบ้าง
แตงกวา หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วปั่นผสมกับน้ำผึ้งจนได้ความข้นเหมือนเนื้อครีม แล้วทาให้ทั่วใบหน้า ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ช่วยกระชับรูขุมขนอย่างได้ผล

มะละกอ ช่วยลดจุดด่างดำให้กับใบหน้า โดยใช้มะละกอสุก บดให้ละเอียด แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ นอกจากจะช่วยให้หน้าใส ยังช่วยป้องกันการอักเสบของผิวด้วย ฝรั่ง  นำมาปั่นและใช้ส่วนเนื้อพอกหน้าทิ้งไว้สักพัก จากนั้นล้างออก ช่วยให้ผิวหน้าดูใส ไร้รอยหมองคล้ำ ช่วยกระตุ้นและทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างดี แตงโม คั้นน้ำแตงโมแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สักพัก จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ตามด้วยน้ำเย็น ความชุ่มชื่นของแตงโม จะช่วยปรับสภาพผิวให้สดชื่นเหมือนเดิม
กล้วยหอม ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและซี เพียงนำกล้วยหอมบดละเอียด ผสมกับนมสดหรือน้ำผึ้ง แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นก็จะช่วยชดเชยน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติที่เราสูญเสียไป ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูอ่อนกว่าวัยได้อย่างได้ผล แอปเปิ้ล น้ำเนื้อแอปเปิ้ลผสมกับน้ำผึ้ง แล้วนวดให้ทั่วผิวหน้า จากนั้นล้างด้วยน้ำเย็น ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ให้ผิวหน้าสดชื่น สะอาดใส สตอเบอร์รี่ นำสตอเบอร์รี่ปั่นมาพอกหน้าทิ้งไว้ แล้วล้างออก โดยทำเป็นประจำ เพื่อช่วยกระชับผิว ลดริ้วรอยของใบหน้าได้ 

เคล็ดลับดังกล่าวนี้ ควรบำรุงอยู่เป็นประจำ แม้ว่าจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่ถ้าหากทำจนเป็นนิสัย ผิวหน้ากระจ่างใส อยู่ไม่ไกลแน่นอน



ยกกระชับผิว ... ให้ดูสาวอ่อนกว่าวัย


เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ผิวบริเวณลำคอที่มีชั้นไขมันบาง มักจะเป็นบริเวณที่ถูกมองเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อผิวเริ่มเหี่ยวลง แม้ว่าจะมีวิธีบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัย แต่ถ้าหากผิวบริเวณลำคอหย่อนคล้อย ก็คงดูไม่เข้ากันเท่าไหร่นัก วิธีบำรุงผิวส่วนอื่นให้ดูดีเหมือนใบหน้ามีหลายทางเลือก ตั้งแต่การทาครีมบำรุงลอกผิวแล้วนวดเบาๆ หรือการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วย
 
การฉีด Hyaluron Acid Hyaluron Acid เป็นคาร์โบไฮเดรตที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับเนื้อเยื่อ เมื่อฉีดแล้วจะกระจายตัวกัน ไม่ประสานกับเซลล์ของร่างกาย ช่วยเสริมร่องริ้วรอยได้ทันที โดยช่วยให้ผิวหนังบวมเต่งจึงขึ้นชั่วคราว ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย มักใช้ลดร่องเฉพาะจุด เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ส่วนใหญ่มีอายุประมาณ 6 เดือน – 1 ปี แล้วแต่ชนิดและรุ่นของ ผลิตภัณฑ์ ที่จำหน่าย ในตลาด หากฉีดแล้วไม่ชอบก็สามารถแก้ไขด้วยการฉีดเอนไซม์เข้าไปละลายให้หายไปได้

การฉีดคอลลาเจน ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เพราะคอลลาเจนที่ฉีดอาจหมดตัวยุบลง ทำให้ไม่เกิดผลและอาจเกิดอาการแพ้ได้  เพราะเป็นสารโปรตีน

การฉีดไขมันตัวเอง เป็นการผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายเนื้อเยื่อไขมันตัวเองมาไว้บริเวณใต้ผิวหนังที่ต้องการลดริ้วรอย โดยแพทย์จะดูดไขมันหน้าท้องหรือต้นขา แล้วฉีดในตำแหน่งที่ต้องการ หลังฉีดต้องพักฟื้นเพราะบริเวณที่ฉีดจะบวม และอาจเขียวช้ำประมาณ 2-3 สัปดาห์ เหมาะสำหรับฉีดรอยบุ๋มบางตำแหน่ง แต่ไม่เหมาะกับบางตำแหน่ง เช่น หน้าผาก คอ แต่วิธีนี้ได้ผลระยะยาว และเป็นธรรมชาติ เพราะเป็นเซลล์ไขมันของเราเอง แต่ข้อเสียคือไม่สามารถรู้ได้ว่าไขมันที่ฉีดไปนั้นอาจมีการเจริญเติบโตได้หากมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และหากไขมันกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ ก็จะเห็นเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำได้ 

การฉีด Botolinum Toxin เป็นการฉีดเพื่อทำให้กล้ามเนื้อ “Platysma” ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่นที่คอกลายเป็นอัมพาต ทำให้รอยย่นหายไป วิธีนี้เหมาะสำหรับผิวที่ไม่เหี่ยวมากนัก และต้องเป็นริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อ เมื่อฉีดแล้ว ได้ผลดูเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ใช่วิธีถาวร ส่วนใหญ่จะมีอายุของการฉีดประมาณ 6 เดือน

การผ่าตัดดึงคอ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีผิวเหี่ยวย่นมาก และใช้วิธีฉีดสารเติมเต็มต่างๆ ไม่ได้ผล แต่ผู้ที่จะได้รับการผ่าตัดจะต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่เป็นเบาหวาน ไม่มีปัญหาเลือดออกง่าย และก่อนผ่าตัด ควรงดวิตามินและอาหารเสริมทุกชนิดอย่างน้อย 1 สัปดาห์  วิธีนี้เห็นผลเร็ว ช่วยให้ผิวกระชับขึ้นและถาวร แต่มีโอกาสเสี่ยงกับการเกิดแผลเป็นนูน และการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

การรักษาด้วยเซลล์ เป็นการฉีดเซลล์เข้าสู่ร่างกาย เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพของผิวหนัง ทำให้ผิวอ่อนนุ่มและเต่งตึงขึ้น โดยแถบยุโรปและอเมริกานิยมใช้  เซลล์ Fibroblast โดยนำเซลล์มาจากตัวคนไข้ ออกมาเพาะเลี้ยงแล้วฉีดกลับเข้าไปใหม่ และเซลล์ ADSC (Adipose derived stem cell) เป็นสเต็มเซลล์ไขมันโดยการดูดเนื้อเยื่อไขมันจากคนไข้มาสกัด และเพาะ แล้วนำไปฉีดกลับเข้าไปใหม่ การรักษาด้วยเซลล์เป็นวิธีรักษาที่ถาวร แต่ยังไม่มีการนำมาใช้ในประเทศไทยอย่างถูกต้องเนื่องจากข้อจำกัดของห้องปฎิบัติ การเพาะเลี้ยงเซลล์ในการรักษาต้องใช้มาตรฐานระดับสูง และแพทย์ต้องมีความรู้พื้นฐานที่ถูกต้อง

เลเซอร์ AccuLift  ปัจจุบัน การผ่าตัดดึงหน้าแบบไม่ต้องลงมือผ่าตัดโดยใช้มีด มีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ไหมดึงหน้า  การใช้คลื่นความถี่วิทยุ แต่วิธีที่ได้ผลและเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ก็คือการยิงเลเซอร์ภายในเนื้อเยื่อ  ซึ่งที่นิยมมากในปัจจุบันคือการยิงเลเซอร์ AccuLift โดยวิธีนี้มีกลไก 2 แบบด้วยกัน กลไกแรกคือการยิงด้วยพลังงานแสงเข้าไปบริเวณไขมัน เพื่อทำลายและหลอมละลายเซลล์ไขมัน กลไกที่สองคือสร้างพลังงานความร้อนในขนาดที่พอเหมาะเพื่อทำให้คอลลาเจนหดตัวได้พอดี และเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่อีกครั้ง สามารถปรับแต่งใบหน้าที่หย่อนคล้อยให้ยกกระชับขึ้นได้ ผิวหน้าตึงกระชับ และเนียนเรียบดูอ่อนวัยแบบเป็นธรรรมชาติ

วิธีนี้ เป็นนวัตกรรมการยกกระชับใบหน้าและลำคอ ซึ่งเป็นการผ่าตัดดึงหน้าแบบไร้รอยแผล โอกาสที่เนื้อเยื่อรอบข้างถูกทำลายจึงน้อยมาก  สามารถสลายไขมันได้อย่างจำเพาะเจาะจง ลดรอยเหี่ยวย่นและช่วยยกกระชับ ไม่มีผลต่อสีผิว จึงไม่จำเป็นต้องเลี่ยงแดดแบบเลเซอร์อื่นๆ   โดยส่วนใหญ่แล้วมักเห็นผลเมื่อรักษาในครั้งแรก แต่หลังจากรักษาโดยประมาณ 3 อาทิตย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสภาพผิวของแต่ละคน แต่เป็นวิธีที่ได้ผลถาวรเช่นกัน

นายแพทย์ถนอมกิต บรรณประเสริฐ
ศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า
สถาบันสุขภาพผิวพรรณ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

7 สุดยอดอาหารผิว

Anti-Aging Medicine หรือ เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ เป็นวิชาความรู้ที่มีที่มาจากคำถามที่แทบทุกคนอยากรู้คำตอบ นั่นก็คือ "ทำยังไง ถึงจะแก่อย่างมีความสุข” หนึ่งในการปฏิบัติตัวตามแนวทางของ Anti-Aging Medicine ที่สำคัญ คือ การรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพ อาหารที่จัดได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารผิวนั้น มี 7 อย่างด้วยกัน คือ
ผักผลไม้สีส้มเหลือง
ล้วนมีสารอาหารในกลุ่มของวิตามินเอตามธรรมชาติ หรือที่เรียกว่ากลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) โดยมีสารหลักที่สำคัญคือ เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เมื่อผิวหนังของคนเราถูกแสงยูวีทำลาย เกิดเป็นอนุมูลอิสระขึ้น เบต้าแคโรทีนสามารถเข้ามายับยั้งอนุมูลอิสระ หรือเรียกว่ามาปกป้องผิวจากการถูกทำลายด้วยแสงยูวีนั่นเอง นอกจากนี้ เบต้าแคโรทีนอาจช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร และยังมีส่วนเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเพิ่มการสร้างของเม็ดเลือดขาวอีกด้วย
ผักผลไม้สีม่วง
มีสารสำคัญคือ แอนโธไซยานินส์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านการอักเสบชั้นเลิศ ช่วยลดไขมันตัวไม่ดีคือ LDL ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม ปอด และกระเพาะอาหาร และที่สำคัญสำหรับผิวพรรณคือ ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาไกลเคชั่น จึงช่วยป้องกันและชะลออัตราการเหี่ยวตัวของผิวหนังได้
ผักผลไม้ที่มีสีเขียว
ในพืชผักสีเขียวจะมีสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่สำคัญอีกสองตัวคือ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) และคริพโตแซนทีน (Cryptoxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสายตา ป้องกันการเกิดตาบอดในวัยชรา และยังมีเส้นใยอาหารหรือไฟเบอร์อยู่มาก ซึ่งไฟเบอร์เหล่านี้มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักและช่วยให้ขับถ่ายได้คล่องด้วย
ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
ในผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหรือที่เรียกกันว่า Soy นั้น มีสารอาหารที่สำคัญคือ ไอโซเฟลโวน (Isoflavones) ซาพอนิน (Saponins) และจีเนสทีน (Genistein) ซึ่งสารทั้งสามนี้ทำงานประสานกันในการช่วยต่อต้านมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
ปลาแซลมอน
ในปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาโอ นอกจากจะมีไขมันโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์มากมายแล้ว ยังมีสารบำรุงผิวแสนวิเศษที่ชื่อว่า DMAE หรือDimethylaminoethanol DMAE ต่างกับสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ตรงที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มความคงตัวของผนังเซลล์ จึงช่วยให้เซลล์ทนต่อการทำลายของอนุมูลอิสระ และยังช่วยเพิ่มระดับของสารอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ช่วยเพิ่มความกระชับของผิวได้อีกด้วย
โยเกิร์ต
โยเกิร์ตเกิดจากการหมักนมด้วยแบคทีเรียเช่น แลคโตบาซิลลัส หรือไบฟิโดแบคทีเรีย จึงถือเป็นอาหารที่มี Probiotic คือ แบคทีเรียที่ดีกับร่างกาย แบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยเข้าไปสร้างสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ กำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค ปรับภูมิคุ้มกันให้สมดุลแข็งแรงขึ้น ช่วยให้การขับถ่ายคล่องขึ้น การดูดซึมของวิตามินและสารอาหารอื่นๆ ดีขึ้น ลดการอักเสบของร่างกาย  นอกจากวิตามินเอ ซี อี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเทพแล้ว โยเกิร์ตยังเป็นแหล่งของแคลเซียมจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างมากในการป้องกันการเกิดกระดูกพรุน
เห็ด
เห็ดมีสารอาหารที่จำเป็นเกือบทุกอย่างรวมกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และที่สำคัญคือ เส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมีไขมันต่ำ และไม่มีโคเลสเตอรอลเจือปน การทานเห็ดจึงช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องโดยไม่ทำให้อ้วนแต่อย่างใด เกลือแร่สำคัญที่พบในเห็ดคือ ซีลีเนี่ยม ซึ่งอาจจะมีคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็ง และยังมีคอปเปอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรงของคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวด้วย
แพทย์หญิงธิดากานต์ รัตนบรรณางกูรแพทย์ผิวหนัง
สถาบันสุขภาพผิวพรรณ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

เมื่อผมผ่าตัดครบหนึ่งโหล


     การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) สามารถใช้ได้กับการผ่าตัดทางนรีเวชเกือบทุกชนิดเช่น การผ่าตัดมดลูก การผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ การผ่าตัดปีกมดลูก เป็นต้น กล้องที่ใช้ในการผ่าตัดมีกำลังขยายทำให้มองเห็นอวัยวะต่างๆได้ชัดเจน และสามารถเข้าไปถึงตำแหน่งต่างๆในอุ้งเชิงกรานได้ง่ายกว่าการผ่าตัดเปิดหน้าท้องแบบดั้งเดิม โดยไม่ทำให้เกิดแผลขนาดใหญ่ดังเช่นการผ่าตัดเปิดหน้าท้องแบบดั้งเดิม ผู้ป่วยปวดแผลน้อยกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่า ทำให้พักอยู่ในโรงพยาบาลไม่นานก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น ในบางรายสามารถกลับบ้านได้ในวันเดียว และส่วนใหญ่ก็สามารถใช้ชีวิตเกือบปกติได้ในหนึ่งสัปดาห์


     สิบสองปีที่ผ่านไปได้ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ได้รับใช้ประชาชนไปกว่า2000 ราย แต่เมื่อเทียบกับงานทั้งประเทศที่มีนับหมื่นในแต่ละปีถือว่าน้อยมาก  แต่ประสบการณ์ที่ค่อยๆสะสมมา และความรับผิดชอบที่สูงมากๆก็เป็นประวัติศาสตร์แห่งชีวิตอีกบทหนึ่งที่เกิด ขึ้นมาแล้วกับตัวผมเอง

     หลังจากจบหลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางในสาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาแล้ว ผมก็มีหนทางการดำเนินชีวิตไม่ต่างจากแพทย์ร่วมสายวิชาชีพท่านอื่นๆมากนัก นั่นก็คือการแสวงหาสถานที่ในการปฏิบัติงาน ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง โดยมีเป้าหมายคือการนำวิชาการที่ได้ร่ำเรียนมาทั้งสิ้น 9 ปี ลงสู่สนามการทำงานจริงอย่างสมบูรณ์นั่นเอง

     แต่ในชีวิตจริงนั้นมิได้เป็นเช่นดังที่คาดหวังไว้ การใช้ชีวิตมิได้หยุดนิ่ง เช่นเดียวกับการเรียนรู้  ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เนื่องจากข่าวสารข้อมูลที่ได้รับแตกต่างออกไปจากที่เรียนมาทีละเล็กทีละน้อย การที่จะพยายามไม่รับรู้สิ่งต่างๆจากภายนอกเป็นไปไม่ได้  เนื่องจากความจำเจเริ่มคืบคลานเข้ามา ความเบื่อหน่ายก็เข้ามาแทนที่ในชีวิต ทำให้การรับฝากครรภ์ การทำคลอด การทำหมัน การตรวจภายใน การผ่าตัดในอุ้งเชิงกรานโดยการเปิดหน้าท้องแบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่ไม่ท้าทายเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกไร้พรหมแดนเช่นปัจจุบัน

      ในปีพ.ศ. 2537 ผมได้เห็นประกาศการรับสมัครผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรการผ่าตัดผ่านกล้องทาง นรีเวชกรรม จากภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเยอรมนีเป็นวิทยากร ทำให้ข้าพเจ้าสนใจขึ้นมาทันที เนื่องจากสมัยเรียนนั้น การผ่าตัดผ่านกล้องไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่เลยนอกเสียจากการส่องกล้องเพื่อการ ตรวจวินิจฉัย และการทำหมันแห้งเท่านั้น แต่นี่กลับมีการผ่าตัดได้ด้วย อีกทั้งในช่วงนั้นได้มีรายงานทางการแพทย์ฉบับหนึ่งได้กล่าวถึงการผ่าตัด มดลูกผ่านกล้องส่องช่องท้องสำเร็จเป็นรายแรกของโลกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2534 โดยนายแพทย์ แฮรี่ ริชท์ จากสหรัฐอเมริกา จึงเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น และหากเราได้เข้าร่วมการฝึกอบรมจะทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มเติม ขึ้นมาอีกเป็นแน่

     สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วกับการฝึกอบรมระยะสั้นครั้งนั้น ผมได้อะไรน้อยมากเนื่องจากมีผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมมากมายเกือบร้อยคน ประกอบกับระยะเวลาการเรียนรู้มีจำกัด แต่สิ่งที่ผมได้เยอะมากที่สุดก็คือ ความประทับใจในความคิดและจินตนาการของมนุษย์ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ในการแก้ปัญหาความเจ็บไข้ของมวลมนุษย์ให้ลุล่วงไปอย่างดีที่สุด ผมได้นำความรู้มาปฏิบัติตามแต่ก็เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นเท่าใดนักและนั่นทำ ให้ผมตัดสินใจเดินหน้าต่อไปเพื่อไปให้ถึงความสามารถดังเช่นแพทย์จากประเทศ ที่เจริญแล้วเค้ามีกัน

     ผมเริ่มต้นการเดินทางค้นหาความจริงด้วยการไปเยี่ยมชมโรงพยาบาลในประเทศ เยอรมนี และ เนเธอร์แลนด์ ได้พบเห็นการผ่าตัดผ่านกล้องสดๆด้วยตาของตนเองเป็นครั้งแรกเป็นการผ่าตัดเอา มดลูกออกทางช่องคลอดโดยใช้กล้องส่องช่องท้องช่วย แทบจะไม่เชื่อสายตาแต่ความเป็นจริงได้อุบัติขึ้นแล้วในโลกใบนี้ แต่เราก็ไม่สามารถจะเรียนรู้ได้อย่างถึงแก่นซะทีเดียว ผมจึงได้ติดต่อไปยังประธานสมาคมนรีแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องนานาชาติแห่งสหรัฐ อเมริกาขณะนั้นคือนายแพทย์ เจมส์ แดเนียล เพื่อขอเข้ารับการฝึกอบรมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผมก็ได้รับความกรุณาจากท่านอย่างเต็มที่โดยมิได้เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่าง ใด

     ประสบการณ์ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อนั้น ผมได้ให้บริการการผ่าตัดผ่านกล้องแก่ผู้ป่วยไปแล้วทั้งสิ้นประมาณ 80 ราย ซึ่งขณะนั้นคิดว่าหากท่านอาจารย์ถามอะไรมา เราก็คงสามารถแสดงตัวเลขได้อย่างสมศักดิ์ศรีบ้างพอสมควร แต่เพื่อความไม่ประมาทไหนๆก็จะมาเรียนแล้วระหว่างโดยสารอยู่บนเครื่องบินก็ บันทึกคำถามเพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคที่ผ่านๆมา นึกไปนึกมาได้ประมาณ 5 หน้าสมุดบันทึกทีเดียว

     วันแรกแห่งการเรียนรู้อย่างจริงจังในปีพ.ศ. 2539 ก็ทำให้คำถามต่างๆที่เตรียมมาได้รับคำตอบที่น่าพอใจถึง 3 หน้าทีเดียวส่วนที่เหลือก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่ก็ทำให้อุ่นใจได้ว่า.......เรามาถูกทางแล้ว ประสบกาณ์ที่ผ่านมา 80 รายภายในสองปีนั้นดูด้อยลงถนัดตาเมื่อเทียบกับสถิติการผ่าตัดผ่านกล้องในโรง พยาบาลเซนเทนเนียล เมดดิอลเซนเตอร์ มลรัฐเทนเนสซี่  มีมากถึงเดือนละ 300 ราย ผมถึงกับอุทานอยู่ในใจว่า โอ้มายก๊อด สัปดาห์ต่อมาผมได้ร่วมเดินทางไปประชุมวิชาการสามัญประจำปีของสมาคมที่ อาจารย์ของผมเป็นประธานอยู่ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองชิคาโก โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 600 คนจากทั่วโลกทำให้เราได้เห็นว่า เป็นโอกาสที่ดีมากที่ได้มาพบปะผู้สนใจวิชาการการผ่าตัดผ่านกล้องมากมายเช่น นี้เชียวหรือ ทำให้มีกำลังใจในการตั้งใจนำความรู้กลับมาให้บริการแก่ประชาชนมากขึ้นอีก เป็นทวีคูณ

     การเรียนรู้เริ่มต้นด้วยการอ่านตำราต่างๆ จากนั้นจึงเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์วิธีการผ่าตัด และเมื่อมีเวลาว่างก็มานั่งดูวิดีโอการผ่าตัดชนิดต่างๆที่ได้บันทึกไว้ ในวันหยุดก็ฝึกการใช้เครื่องมือการผ่าตัดผ่านกล้อง โดยใช้หุ่นยนต์มาเป็นเครื่องช่วยการเรียนรู้ จากนั้นก็ฝึกการผ่าตัดจริงในสัตว์ทดลองซึ่งก็น่าสงสารเจ้าหมูน้อยน้ำหนัก 25 กิโลกรัมเสียจริงๆ เนื่องจากต้องได้รับการฉีดยาให้เสียชีวิตไปหลังจากการเรียนรู้สิ้นสุดลง เมื่อการฝึกปฏิบัติมาถึงบทท้ายๆ ผมได้มายืนเคียงข้างเตียงผ่าตัดคู่กับผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดผ่านกล้องที่มี ชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก ร่วมกันผ่าตัด ร่วมกันเยี่ยมผู้ป่วยหลังการผ่าตัด คนแล้วคนเล่า จนแน่ใจว่าจะสามารถจดจำสิ่งที่มีประโยชน์มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันให้ ดีที่สุดให้จงได้   จากการเรียนรู้ที่ผ่านไป ทำให้เห็นความสามารถและประสิทธิภาพของการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชกรรม ที่ทำพลิกความคิดแบบเดิมๆไปสู่ความรู้อีกหน้าหนึ่งของศาสตร์ทางการแพทย์สมัย ใหม่ ทั้งๆที่วิธีการเหล่านี้มีผู้ค้นคิดมานับร้อยปีแล้ว แต่พึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่เพียงสองทศวรรษเท่านั้น เนื่องจากได้มีการพัฒนาการทางเทคโนโลยีต่างๆเช่น ใยแก้วนำแสง เทคโนโลยีการถ่ายทอดสัญญาณภาพ หรือการใช้หุ่นยนต์เป็นต้น

     ก่อนกลับท่านอาจารย์ได้ฝากข้อคิดสำคัญไว้ว่า One who does not learn Laparoscopy will be history (ผู้ใดไม่เรียนรู้การผ่าตัดผ่านกล้อง จะเป็นคนในยุกต์ประวัติศาสตร์ซะแล้ว) ผมก็ได้ถ่ายทอดให้รุ่นต่อๆมารับทราบเมื่อมีโอกาส และดูเหมือนจะใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

                  จากวันแรกเริ่มที่ผมจับเครื่องมือการผ่าตัดผ่านกล้องจนถึงวันนี้ ครบสิบสองปีแล้ว  ผู้ป่วยที่มารับบริการการผ่าตัดสามารถเข้าใจวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรี เวชกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแพทย์ไทยเราที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศขณะนี้ได้มีการเรียนรู้ เพิ่มเติมมากขึ้น และได้มีการกระจายความรู้ความเข้าใจออกไปอย่างต่อเนื่อง  ตลอดจนได้มีการเรียนการสอนในทุกสถาบันการแพทย์ของประเทศให้แพทย์มีความรู้ พื้นฐานในการขวนขวายต่อไปในภายภาคหน้า จนผมสังเกตพบว่าผู้ป่วยกว่าร้อยละ 80 เลยทีเดียวที่มีข้อมูลของการผ่าตัดผ่านกล้อง วิธีการผ่าตัดก็สามารถทำได้โดยการเป่าลมเข้าสู่ช่องท้อง แล้วใช้กล้องที่มีแสงสว่างอยู่ด้วยสอดผ่านแผลขนาด 5 มิลลิเมตรบริเวณสะดือลงสู่ภายในช่องท้อง เพื่อทำการตรวจสภาพภายในช่องท้องจากนั้นจึงสอดเครื่องมือขนาดเล็กผ่านแผล บริเวณท้องน้อยทั้งสองข้างเพื่อทำการผ่าตัด

     สิบสองปีที่ผ่านไปได้ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ได้รับใช้ประชาชนไปกว่า 2000 ราย แต่เมื่อเทียบกับงานทั้งประเทศที่มีนับหมื่นในแต่ละปีถือว่าน้อยมาก แต่ก็นับได้ว่าเป็นฟันเฟืองส่วนหนึ่งที่พยายามนำพาวิธีการผ่าตัดผ่านกล้อง ให้ไปสู่จุดหมายที่แท้จริง เพราะนอกจากจะให้บริการผู้เจ็บป่วยแล้ว ยังได้ร่วมกับชมรมนรีแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องแห่งประเทศไทย เผยแพร่ความรู้อย่างต่อเนื่องอีก ด้วย                                                                         
                    จะเห็นได้ว่าการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชกรรมสามารถนำมาให้บริการแก่ผู้ป่วย ได้อย่างหลากหลาย โดยที่ข้อบ่งชี้ในการทำผ่าตัดมีมากขึ้นและข้อห้ามก็จะลดลงตามลำดับ แปรตามจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่สนใจวิธีการทางด้านนี้ได้ขยายวงกว้างออกไป เรื่อยๆ   แต่ในขณะเดียวกันผลข้างเคียงก็อาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว    

      จากประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนเห็นว่ามีสิ่งที่น่าจะสามารถนำมาบอก เล่า   ถึงศักยภาพของการนำวิธีการทางการแพทย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้มารับ บริการอย่างสูงสุด อันเป็นการ transfer technology  จากอดีตมาสู่ยุคสมัยปัจจุบันเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ให้มากขึ้นในอนาคต

เขียนโดย:
นพ. มงคล จันทาภากุล 
สูติ นรีเวชวิทยา - ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคมือ เท้า และปาก

โรคมือ เท้า และปาก (Hand-Foot-Mouth Disease)

    โรคนี้มีลักษณะ คือมีผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และมีแผลในคอ บางรายมีแผลทั่วปาก ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
ระยะฟักตัวของโรค
   ตั้งแต่ 3 ถึง 6 วัน
อาการ
   เริ่มแรกจะมีไข้ เจ็บคอ เจ็บในปาก เบื่ออาหาร น้ำลายไหล ตรวจร่างกายพบแผลที่คอ อีก 1-2 วัน ต่อมาจะมีผื่น ลักษณะเป็นจุดแดงๆ หรืออาจมีตุ่มน้ำใสปะปนด้วย ไม่เจ็บ ขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ทั้ง 2 ข้าง ในบางรายอาจเป็นผื่นแดงตามลำตัวที่ก้นและขา  โรคจะดำเนินไปประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะค่อยๆ หายได้เอง
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
   -  ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Coxsachie A 16
   -  ส่วนน้อยเกิดจากเชื้อ Enterovirus 71 ซึ่งมีอันตรายมากกว่าเพราะเชื้อตัวนี้อาจลุกลาม ทำให้มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื้อสมองอักเสบหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้
การติดต่อ
   เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย เชื้อไวรัสนี้จะอยู่ในน้ำลายและอุจจาระของผู้ป่วย เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางปาก  ในชุมชนที่แออัด หรือโรงเรียนอนุบาลที่มีเด็กจำนวนมาก จะพบการติดต่อแพร่กระจายของโรคได้บ่อย
การวินิจฉัย
   โดยอาศัยลักษณะอาการของโรค การวินิจฉัยที่จะยืนยันทำได้โดยการเพาะเชื้อไวรัสจากตุ่มในคอ  น้ำลายและอุจจาระของผู้ป่วย และการทดสอบปฏิกิริยาน้ำเหลือง
การรักษา 
   ยังไม่มีวิธีการรักษาโดยจำเพาะ ต้องอาศัยการรักษาตามอาการและรักษาแบบประคับประคอง
วิธีป้องกัน
   ไม่สัมผัสกับเด็กที่ป่วย ไม่พาเด็กไปในที่มีคนมากๆ และสอนเด็กให้ล้างมือเมื่อออกจากห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร จะช่วยไม่ให้โรคแพร่กระจายต่อไป

การนอนกรน แค่น่ารำคาญ หรือ ภัยคุกคามที่ต้องระวัง

สาเหตุ เกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ลมหายใจไม่สามารถผ่านลงสู่หลอดลม และปอด  ได้อย่างสะดวก

การนอนกรนมี 2 ประเภท
1. การนอนกรนธรรมดา
2. การนอนกรนที่มีการหยุดหายใจเข้าร่วมด้วย

การวินิจฉัย 
ทำเพื่อค้นหาตำแหน่งการอุดกั้นของทางเดินหายใจ  หากพบว่ามีภาวะหยุดหายใจร่วมด้วย  แพทย์จะแนะนำให้ตรวจการนอนหลับ  หรือที่เรียกว่า Sleep Laboratory

“การนอนกรนและมีภาวะหยุดหายใจอาจส่งผลเสียโดยตรงต่อสุขภาพนะครับ”

นายแพทย์วรพงษ์ เวชวิชานิยม
ศัลยแพทย์ โสต ศอ นาสิก





มากกว่ารัก คือการที่เราได้ดูแลกัน

     เป็นเรื่องน่าแปลกที่ใครๆก็ตื่นเต้นกับวันแห่งความรัก ที่กำลังเดินทางมาถึง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันที่เป็นสัญลักษณ์ของความรัก แต่หากถามว่าความรักคืออะไร กลับไม่มีใครให้คำนิยามที่ชัดเจนได้ บางคนบอกว่าความรักคือความผูกพัน ในขณะที่บางคนบอกว่า ความรักก็คือความรักไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่สำหรับผม ผมมั่นใจว่าทุกๆคนไม่อยากให้คนรักมีความทุกข์ ดังนั้นนอกเหนือจากการแสดงความรักด้วยคำพูด หรือด้วยการมอบดอกกุหลาบแล้ว การดูแลซึ่งกันและกัน ควรจะเป็นสิ่งที่เราทำมากที่สุดสำหรับคนรัก

     โลกหมุนเปลี่ยนผ่านยุคสมัย ความรักยังคงอยู่ สำหรับบางคู่ ความรักนำไปสู่การสร้างครอบครัว ในขณะที่บางคู่ความรักนำไปสู่ความสัมพันธ์เพียงช่วงขณะหนึ่ง แต่ไม่ว่าความรักจะนำพาไปในทิศทางใด การดูแลกันและกันยังคงเป็นแก่นแท้ การจับคู่กันของคู่รัก ไม่ควรเป็นสาเหตุที่ทำให้ใครจะต้องพบกับความทุกข์ แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เมื่อวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์พบว่า มีโรคหลายอย่างเป็นอุปสรรคอยู่ในความสัมพันธ์ดังกล่าว

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่นการติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี การติดเชื้อไวรัสมะเร็งปากมดลูก(Human Pappilloma Virus, HPV) โรคหนองใน(Gonorrhoea) โรคซิฟิลิส(Syphilis)  โรคเหล่านี้มีความสามารถพิเศษที่สามารถแพร่จากคนหนึ่งไปสู่คนหนึ่ง และจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้เรื่อยๆ โดยอาศัยพาหนะที่ชื่อ ความรักและความใคร่ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีความยากในการรักษา และบางโรคไม่อาจจะรักษาให้หายได้ การป้องกันจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดและง่ายที่สุด นั่นคือการใช้ถุงยางอนามัย(condom)

    “ความรักคือความไว้ใจ” จริงหรือที่ความรักจะทำให้เราต้องลดความระมัดระวังในการดูแลกัน แม้เราจะเชื่อใจคนที่เรารัก แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เราเองจะไม่เป็นผู้นำโรคร้ายเหล่านี้ไปให้คนรักของเรา หรือคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจะไม่มีโรคร้ายบางประการแฝงอยู่ ในเมื่อเชื้อโรคไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏอาการแสดงทันทีที่เรารับเชื้อเข้าสู่ร่าง กาย บางคนเมื่อรับเชื้อเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายจะไม่ปรากฏอาการใดๆทั้งสิ้น แต่จะรอวันที่ร่างกายอ่อนแอจึงทำให้เกิดอาการ หรือบางครั้งเชื้อโรคก็เพียงอาศัยร่างกายของเราเป็นพาหะที่จะส่งต่อไปยังคน อื่นเท่านั้น ดังนั้นหากความรักคือการไว้ใจจนถึงขั้นที่จะสานต่อความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้ง เราก็ไม่ควรที่ละละเลยที่จะดูแลความไว้ใจของกัน ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง จนกว่าเราพร้อมที่จะสร้างครอบครัวและมีทารกตัวเล็กอันเป็นที่รักของเรา

    นอกจากการป้องกันด้วยถุงยางอนามัยแล้ว สำหรับบางโรคเราสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ได้แก่ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และวัคซีนป้องกันไวรัสมะเร็งปากมดลูก

    วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี(Hepatitis B Vaccine) สามารถฉีดได้ทุกช่วงอายุ โดยฉีดทั้งหมด 3 เข็ม เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ห่างกัน 1 เดือน ส่วนเข็มที่ 2 และ 3 ห่างกัน 5 เดือน การฉีดนั้นจะฉีดที่กล้ามเนื้อต้นแขน และยังสามารถฉีดร่วมกับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ(Hepatitis A Vaccine) ซึ่งติดต่อกันทางอาหารได้อีกด้วย โดยภูมิคุ้มกันจะเพิ่มสูงขึ้นหลังฉีดเข็มที่ 2  เหตุผลที่สำคัญในการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีก็คือ มารดาที่เป็นพาหะของไวรัสนี้ เด็กแรกคลอดอาจติดเชื้อจากมารดาได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ขณะคลอด และสำหรับผู้หญิงที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ 14 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผู้ชายติดเชื้อนี้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับถึง 50 เปอร์เซ็นต์

    วัคซีนป้องกันไวรัสมะเร็งปากมดลูก(Human Pappilloma Virus, HPV) แนะนำให้ฉีดให้ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 9-26 ปี หรือสตรีที่อายุมากกว่านี้แต่ไม่มีประวัติทางเพศสัมพันธ์ซึ่งไม่มีโอกาสเคย ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ โดยวิธีการฉีดและระยะเวลาการฉีดเช่นเดียวกับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับ อักเสบบี คือฉีดที่กล้ามเนื้อต้นแขนทั้งหมด 3 เข็ม เข็มที่ 1และ 2 ห่างกัน 1 เดือน และ เข็มที่ 2 กับ 3 ห่างกัน 4-5 เดือน  ซึ่งสามารถฉีดพร้อมกับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีได้ เพียงแต่ต้องแยกฉีดที่แขนคนละข้าง วัคซีนดังกล่าวป้องกันการติดเชื้อ HPV 16, 18 ซึ่งเป็นสาเหตุ 70% ของโรคมะเร็งปากมดลูก และป้องกันการติดเชื้อ HPV 6,11 ซึ่งเป็นสาเหตุ 95% ของโรคหูดหงอนไก่   สำหรับผู้ชายสามารถฉีดวัคซีนนี้ได้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องการการติด เชื้อHPV  ป้องกันการเกิดโรคหูดหงอนไก่ และป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นพาหะรับเชื้อนี้ไปส่งต่อให้คนรัก

    ยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน ความรักอาจมีความหมายเปลี่ยนไปตามค่านิยมของยุคสมัย ค่านิยมของคนยุคใหม่ที่น่าเป็นห่วงประการหนึ่งนั้นก็คือ การให้ความสำคัญแก่วันแห่งความรักในฐานะวันแห่งการครอบครอง  คงจะดีไม่น้อยหากเราครอบครองและเรียนรู้ที่จะทะนุถนอมผู้เป็นที่รักของเรา ให้ปลอดภัยอยู่เสมอ เกราะกำบังแห่งความรักก็คือการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน การใช้ถุงยางอนามัย และการฉีดวัคซีนป้องกัน เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เรามีในยุคนี้ เหลือเพียงเราซึ่งพูดอยู่เสมอว่า “ผมรักคุณ” จะแสดงความรักอย่างไร ...ละเลยหรือดูแลกัน ?

นพ.สิรวิชญ์ เดชธรรม (พ.บ.,น.บ.,บธ.ม.)
ประกาศนียบัตรอาชีวเวชศาสตร์
Wellness Center, รพ.สมิติเวช ศรีราชา

 1 รังสิมา โล่เลขา, วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี, คู่มือวัคซีน 2008. สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
 2 ชิษณุ พันธุ์เจริญ, วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อแปปปิโลมา, คู่มือวัคซีน 2008. สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย

ความรักคือ “ไมเกรน”

Love is a universal migraine,
A bright stain on the vision,
Blotting out reason.
(Robert  von Ranke Graves ,1895-1985)

    อาการปวดศีรษะจากไมเกรน เป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องความรุนแรง จนกระทั่ง Robert Graves กวีชาวอังกฤษ ใช้อาการของไมเกรนในการบรรยายความรักในบทกวีชื่อ Symptoms of Love ดังข้อความข้างต้น ซึ่งแปลได้ว่า ความรักทำให้ปวดศีรษะได้เหมือนไมเกรน ทำให้ตาพร่ามัว และเกิดขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ซึ่งก็นับว่าถูกต้องทีเดียว แต่ถ้า Robert Graves เป็นแพทย์ เขาคงจะอธิบายอาการไมเกรนไว้มากกว่านี้แน่ๆ

    เมื่อมีอาการปวดศีรษะ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าตัวเองเป็นไมเกรนซึ่งในทางการแพทย์ก็สนับสนุนความเชื่อนี้โดยระบุว่า ไมเกรนเป็นสาเหตุหลักของการปวดศีรษะ โดยทำให้ประชากรหญิงมีอาการปวดศีรษะถึง 15% และชายมีการปวดศีรษะถึง6%    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ปวดศีรษะจะต้องเป็นไมเกรน   ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักไมเกรนสักนิด

    อาการปวดศีรษะจากไมเกรน(Migraine) นั้นจะมีลักษณะจำเพาะ คือการปวดตุบเป็นจังหวะซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นไปตามจังหวะการขยายตัวของหลอดเลือดในสมอง ส่วนใหญ่เป็นการปวดศีรษะข้างเดียว เป็นมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือออกแรง มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย และผู้ป่วยมักไวต่อแสง เสียง หรือกลิ่น มีอาการเจ็บที่หนังศีรษะ ระยะเวลาปวดนานเป็นชั่วโมงหรืออาจนานถึง 2-3 วัน อาการปวดศีรษะไมเกรนจะเกิดซ้ำได้เรื่อยๆ และมีลำดับขั้นการเกิดอาการเป็นรูปแบบเฉพาะสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน แต่อาจสลับข้างปวดได้

    ไมเกรนแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือแบบมาตรฐาน (Classic Migraine หรือ Migraine with aura) ซึ่งจะมีอาการนำมาก่อน เช่น การมองเห็นแสงวูบวาบ การมองเห็นจุดแสงบริเวณกลางจอภาพและค่อยๆขยายตัวขึ้น หรือการเห็นแสงสีสเปคตรัมต่างๆ ซึ่งเกิดจากการศูนย์เสียหน้าที่ชั่วคราวของเซลล์ประสาทสมองส่วนที่แปรผลการมองเห็น ก่อนเกิดอาการบางคนอาจจะมีอาการนำมาก่อนช่วงสั้นๆ คืออาการ เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย  หงุดหงิด หรือซึมเศร้า  เวียนศีรษะ หน้ามืด  เป็นต้น ส่วนไมเกรนอีกแบบหนึ่งคือแบบทั่วไป (Common Migraine) จะไม่มีอาการนำมาก่อน

    ปัจจุบัน เรายังไม่ทราบกลไกการเกิดไมเกรนที่ชัดเจน แต่เชื่อว่า ไมเกรนเกี่ยวข้องกับระบบหลอดเลือดในสมอง ระบบสารสื่อประสาท  และระบบฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งแปรปรวน ทำให้เพศหญิงมีอาการไมเกรนมากกกว่าชาย โดยเกิดอาการมากในช่วงอายุ 10-40 ปี และไมเกรนอาจเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรม

    อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่เราสามารถควบคุมเพื่อป้องกันการกระตุ้นไมเกรนได้ คือ

    1 การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
    2 หลีกเลี่ยงอาหารบางประเภท ซึ่งแต่ละคน อาจมีอาหารที่กระตุ้นการเกิดไมเกรนไม่เหมือนกัน ตัวอย่างอาหารที่อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นไมเกรน เช่น ช็อคโกแล็ต เนยแข็ง ผงชูรส สารกันบูด หรือสารกลุ่มไนเตรทซึ่งใช้ถนอมอาหารประเภทเนื้อ
    3 หลีกเลี่ยงการอดอาหาร
    4 หลีกเลี่ยงการอดนอน หรือการนอนยาวนานกว่าปกติ
    5 หลีกเลี่ยงกลิ่นหรือน้ำมันระเหย
    6 ไม่ออกกำลังกายอย่างหักโหม
    7 ควบคุมอารมณ์เพื่อลดความเครียด และหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนอารมณ์อย่างฉับพลัน จะช่วยให้ความถี่ของการปวดศีรษะลดลง เทคนิคที่สามารถปฏิบัติได้เช่น การนั่งสมาธิ การเล่นโยคะ
     8 หลีกเลี่ยงแสงวูบวาบ ไฟกระพริบต่างๆ
    9 การเตรียมตัวเมื่อต้องเดินทางไกลโดยเฉพาะการข้าม time zone,
    10 การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอากาศ, ความดันอากาศ, หรือระดับความสูง อาจกระตุ้นไมเกรนได้

     เมื่อมีอาการปวดศีรษะเกิดขึ้น การใช้ยาแก้ปวดตั้งแต่เริ่มมีอาการจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ซึ่งชนิดและปริมาณของยาแก้ปวดสำหรับแต่ละคนอาจแตกต่างกันตามระดับความรุนแรง  และโดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องกินยาหากไม่มีอาการ แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องพกยาที่เคยกินแล้วหายปวดไว้

    มีผู้ป่วยบางรายที่อาการปวดรุนแรงมากอาจจำเป็นต้องกินยาป้องกัน คือ มีอาการปวดรุนแรงมากกว่า 3 ครั้งใน 1 เดือน, คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง และมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งประเภทของยาป้องกันนั้นควรปรึกษาแพทย์

    นี่คือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับไมเกรน อ่านแล้วเชื่อหรือยังครับว่า ไมเกรนเป็นอาการของความรัก แต่เป็นความรักที่ค่อนข้างจะรันทดไปสักหน่อยนะครับ.



นพ.สิรวิชญ์ เดชธรรม (พ.บ.,น.บ.,บธ.ม.)
ประกาศนียบัตรอาชีวเวชศาสตร์
Wellness Center, รพ.สมิติเวช ศรีราชา