วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ภัยร้ายที่ยากจะหลีกเลี่ยงของคุณผู้หญิง




สุภาพสตรีทั้งหลายคงอาจจะรู้สึกน้อยใจบ้าง ทำไมเกิดเป้นผู้หญิงถึงมีโรคภัยมากมายติดตามมาด้วย ไม่เหมือนผู้ชายที่ไม่ค่อยจะมีโรคอะไรเฉพาะ ความเข้าใจแบบนี้ก็ต้องเรียกว่าเกือบถูก เพราะไม่ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ จริง ๆ แล้วคุณผู้ชายทั้งหลายก็มีโรคไม่น้อย แต่ถ้าจะเทียบกับโรคในผู้หญิงก็อาจจะบอกได้ว่าโรคในผู้หญิงมีความซับซ้อนกว่า มีการคาดเดาที่ยากกว่า อย่างหนึ่งโรคที่เราจะกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อีกหนึ่งภัยร้ายของคุณผู้หญิงที่ต้องบอกเลยว่ายากที่จะหลีกเลี่ยงจริง ๆ เราได้รับเกียรติจากนายแพทย์มฆวัน ธนะนันท์กูล สูตินรีแพทย์ผู้มีประสบการณ์สูง ที่มาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเรา จะมีอะไรที่น่าติดตามก็มาดูกันเลยดีกว่า
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
เป็นชื่อเรียกของโรคในทางการแพทย์ หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูแต่ถ้าบอกว่า ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate cyst) ทุกคนคงจะถึงบางอ้อกันทันที แท้ที่จริงแล้วทั้งสองโรคนี้คือโรคเดียวกันเมื่อคุณผู้หญิงมีประจำเดือน จะมีเยื่อบาง ๆ ลอกออกและปนมากับเลือดประจำเดือนที่ออกมาทางช่องคลอด ซึ่งเยื่อบาง ๆ เหล่านี้ก็คือ เยื่อบุโพรงมดลูกนั่นเอง ทีนี้เลือดประจำเดือนที่ไหลออกมาทางช่องคลอดใช่ว่าจะไหลออกมาหมดเสมอไป บางทีก็มีส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับเข้าไปในท่อนำไข่ เข้าไปในช่องท้องซึ่งเลือดที่ไหลย้อนกลับไปนั้นก็ยังมีเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ด้วยจะเข้าไปฝังตัวอยู่ตามที่ต่าง ๆ เช่น รังไข่ ท่อนำไข่ กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ หรือ เนื้อเยื่อต่าง ๆที่ยึดมดลูกไว้ และฮอร์โมนจากรังไข่จะเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโต เมื่อถึงเวลาก็จะต้องลอกออกและไหลออกมากับประจำเดือนทางช่องคลอด แต่ถ้าเป็นเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปฝังตัวอยู่ในที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีทางออกของเลือดทุกเดือน ๆ ก็จะเกิดการสะสมของเลือดและเกิดการอักเสบทำให้เกิดเป็นพังผืดขึ้น แต่ถ้าเป็นกรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกไปฝังตัวอยู่ในรังไข่แต่รังไข่ไม่มีทางออกของเลือด เลือดที่ออกจะถูกขังอยู่ไปไหนไม่ได้ และจะสะสมมากขึ้นจนโตขึ้นเป็นซีสต์ เลือดที่สะสมนานจะข้น สีเหมือนช็อกโกแลต จึงเรียกว่า “ช็อกโกแลตซีสต์” สรุปได้ง่าย ๆว่าช็อกโกแลตซีสต์เกิดขึ้นก็เพราะ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ นั่นเอง
สาเหตุและอาการของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
คุณหมอกล่าวว่าเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ในทางการแพทย์ยังไม่มีการสรุปถึงสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ ส่วนอาการและความรุนแรงของโรคนี้ ไม่ใช่อาการเฉพาะเจาะจง อาจพบในโรคอื่นได้เหมือนกัน แต่โดยส่วนมากคุณผู้หญิงที่เป็นจะมีอาการปวดท้องประจำเดือนมาก อาการจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนทำให้ทนไม่ไหว ต้องกินยาแก้ปวด มีอาการลำไส้แปรปรวน ท้องอืด ท้องเสีย ปวดมากเวลาขับถ่าย ปวดเสียดในท้อง ปวดหลัง ปวดร้าวลงขา ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะบ่อย รวมทั้งมีอาการเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ซึ่งอาการปวดเหล่านี้จะมีเฉพาะช่วงมีประจำเดือน พอหมดช่วงประจำเดือนก็จะไม่แสดงอาการอะไร อาการปวดที่เกิดขึ้นเกิดจากถุงเลือดโตขึ้นจนตึงและเกิดการไปเบียดและกดทับอวัยวะอื่น ๆ จึงทำให้เกิดอาการปวดเกิดขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้นานไม่ทำการรักษาปัญหาที่ตามมาก็คือ จะมีบุตรยาก เพราะท่อนำไข่ตีบตัน สาเหตุมาจากมีพังผืดรั้งอยู่ ทำให้ท่อนำไข่ไม่สามารถทำงานได้ หรือถุงเลือดอาจจะบวมจนแตกออกทำให้มีตกเลือดภายในจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
การรักษาเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือช็อกโกแลตซีสต์
คุณหมอให้ข้อมูลว่า ในรายที่อาการรุนแรงไม่มาก แพทย์อาจให้สังเกตและติดตามอาการเป็นระยะ ในรายที่มีอาการพอสมควรแพทย์อาจรักษาโดยใช้ยา แต่ในความเป็นจริงแล้วส่วนใหญ่รักษาด้วยยาแทบจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ยังไงก็ต้องผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดในปัจจุบันนี้แพทย์ก็จะเลือกใช้วิธีการผ่าตัดส่องกล้อง(Laparoscopic Surgery) เป็นวิธีมาตรฐานในการผ่าตัด ในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีการนี้ ซึ่งเนื่องจากเป็นวิธีที่ทันสมัย มีแผลเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวเร็วซึ่งไม่น่ากลัวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยเป็นช็อกโกแลตซีสต์และผ่าตัดออกไปแล้ว ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้
สิ่งที่คุณหมอย้ำเตือนให้คุณสาว ๆ ตระหนักไว้ก็คือ โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เป็นโรคที่มีอยู่ในตัวของคุณสุภาพสตรีท่านนั้นอยู่แล้ว เพียงรอเวลาที่จะเติบโตขึ้นเท่านั้น ซึ่งตรงจุดนั้นเองที่เป็นปัญหา เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าอาการจะรุนแรงขึ้นเมื่อใด จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงจริง ๆ ดังนั้น คุณผู้หญิงทุกคนจึงควรหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ แม้เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ จะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง แต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้ ทางที่ดีควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจโดยด่วน หากพบว่าเป็นก็จะได้ทำการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะเป็นการดีที่สุด

ปริญญาบัตร/วุฒิบัตร

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ปัสสาวะเล็ดขณะไอจาม ปัญหาเล็ก ๆ ที่คุณไม่ควรมองข้าม


มีสตรีจำนวนมาก ได้รับความเดือดร้อนจากการมีปัสสาวะเล็ดขณะไอจาม ถึงแม้จะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตแต่ก็รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันไม่น้อย เพราะสร้างความเครียด กังวลและทำให้รู้สึกรำคาญ คุณผู้หญิงบางคนอาจจะเป็นมากจนต้องใส่ผ้าอนามัยทุกวัน ทำให้ไม่สะดวกในการใช้ชีวิต ต้องปลีกตัวจากสังคมและบ่อยครั้งไม่กล้าทำกิจกรรมอย่างการเล่นกีฬา หลายคนอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็พอจะทนได้ แต่จริง ๆ แล้วจากปัญหาเล็ก ๆ เหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ที่จะตามมาก็ได้ วันนี้เราจึงจะพาคุณไปเรียนรู้ในเรื่องราวของการมีปัสสาวะเล็ดขณะไอจาม ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลย
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอจาม
ปัสสาวะเล็ดขณะไอจาม เป็นภาวะหนึ่งที่มีคุณผู้หญิงมากมายต้องประสบปัญหา สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้นก็คือ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่คอยพยุงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะหย่อนยาน หรือ จะเรียกว่ามีอาการของหูรูดท่อปัสสาวะมีการเสื่อมสภาพก็ได้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาวะนี้ขึ้นก็มีหลากหลาย ทั้งการคลอดบุตร อายุที่มากขึ้น อ้วน มีเนื้องอกในช่องท้อง ภาวะไอเรื้อรัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ท่อปัสสาวะเปิด เมื่อไอหรือจามจึงทำให้มีปัสสาวะเล็ดออกมาได้
ปัสสาวะเล็ดขณะไอจาม มีวิธีใดบ้างในการรักษาหรือแก้ไข ?
สิ่งสำคัญประการแรกก็คือ เมื่อคุณเริ่มมีอาการ ปัสสาวะเล็ดขณะไอจาม บ่อยมากขึ้น ให้คุณรีบมาปรึกษาแพทย์ ในเบื้องต้นแพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักประวัติและตรวจร่างกายหรือตรวจภายในหรือส่งตรวจพิเศษ เพื่อยืนยันว่ามีภาวะนี้จริง แล้วจึงทำการรักษา ซึ่งการรักษาก็มีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การแนะนำให้คนไข้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองด้วยการฝึกขมิบช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีที่ที่ง่ายและได้ผลดี แต่ถ้าคนไข้หยุดปฏิบัติ โอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกก็มีสูง การปรับพฤติกรรมของคนไข้เองด้วยการลดน้ำหนัก รักษาอาการไอจามเรื้อรัง รักษาอาการท้องผูก ซึ่งวิธีการเหล่านี้ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ถ้าคนไข้หมั่นปฏิบัติ อาการจะดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน ส่วนวิธีการที่คนไข้ไม่ต้องฝึกปฏิบัติเองก็จะมีวิธีการฉีดสารช่วยลดขนาดท่อปัสสาวะ โดยการฉีดสารบางชนิดบริเวณด้านนอกของท่อปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะเล็ดน้อยลงหรือไม่เล็ดเลย และหนึ่งวิธีเป็นวิธีสุดท้ายก็คือการผ่าตัด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี แต่เทคนิคใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในการนำมาใช้แก้ปัญหากระเพาะปัสสาวะหย่อนยานก็คือ เทคนิค Tension free Vaginal Tape (TVT ) ซึ่งเป็นการผ่าตัดเพื่อใส่แผ่นตาข่ายพิเศษพยุงท่อปัสสาวะเพื่อหยุดการรั่วซึมของน้ำปัสสาวะ เป็นวิธีที่ทันสมัยและปลอดภัยในการแก้ไขอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอจามเนื่องจากทำได้สะดวกรวดเร็ว ใช้เวลาผ่าตัดไม่นาน ประมาณ 30-40 นาทีอีกทั้งแผลก็มีขนาดเล็กจึงฟื้นตัวเร็ว มีภาวะแทรกซ้อนน้อย พักโรงพยาบาลเพียง 1 – 2 วันก็สามารถกลับบ้านได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า อาการปัสสาวะเล็ดขณะไอจาม อาจจะเป็นเรื่องเล็กที่คุณไม่ควรมองข้ามไปซะทีเดียว เพราะปล่อยไว้จนมีอาการรุนแรง แน่นอน ต้องทำให้การใช้ชีวิตประจำวันได้รับผลกระทบมากมาย แต่ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่จะต้องกังวล ถ้าหากคุณตัดสินใจที่จะเข้ามารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ แต่ถ้าปล่อยไว้นานอาจจะต้องถึงขั้นผ่าตัด ถึงแม้จะถึงขั้นนั้นจริงก็ไม่ต้องกังวล เพราะวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่สามารถที่จะตอบโจทย์การรักษาได้ครอบคลุมวิถีชีวิตของคนยุคใหม่นี้ได้มากขึ้น และการผ่าตัดก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนและน่ากลัวอย่างที่คุณคิดอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นที่จะต้องลางานนาน ๆ เพื่อพักรักษาตัว หลังการผ่าตัดพักเพียง 1 วันก็สามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้แล้ว คุณผู้หญิงที่รู้สึกรำคาญไม่ชอบความเหนอะหนะของจุดซ่อนเร้นก็ไม่ต้องกังวล คุณสามารถทำความสะอาดช่องคลอด และอาบน้ำได้ตามปกติ หลังผ่าตัด แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหรือมีอาการเหล่านี้ การควบคุมอาหาร วางแผนการมีบุตรอย่างเหมาะสม ฝึกขมิบช่องคลอดภายหลังคลอด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันการเกิดปัสสาวะเล็ดขณะไอจามได้เป็นอย่างดี หากคุณทำได้เราก็แนะนำให้คุณปฏิบัติตามนี้เพราะจะส่งผลดีในระยะยาวต่อตัวคุณเองแน่นอน

ปริญญาบัตร/วุฒิบัตร
วิทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี พ.ศ. 2518

โรคปวดหลัง (Low back Pain) เป็นอย่างไร?



อาการปวดหลังบริเวณบั้นเอว อาการปวดหลังดังกล่าวนั้นจะเกิดได้ 2 ช่วง ถ้าปวดหลังภายใน 3 เดือน ในทางสากลเรียกว่า ปวดหลังฉับพลัน แต่ถ้าปวดนานเกิน 3 เดือน เรียกว่าปวดหลังเรื้อรัง    อาการปวดหลังนั้น ไม่เหมือนกันทุกคน บางครั้งเกิดทันทีทันใด บางคนเกิดขึ้นช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป  บางคนเป็นๆ หายๆ  อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาการปวดหลังภายใน 3 เดือนมักหายเองได้ภายใน 2 – 3 สัปดาห์ ถ้าได้รับการพักผ่อนเพียงพอ

สาเหตุของการปวดหลัง
เกิดได้จากหลายสาเหตุ  บางครั้งเกิดจากการบิดหมุนตัว  ก้มหลังมากไป การนั่งผิดท่า เช่น นั่งหลังโก่ง นั่งบิด  แต่ถ้ามีอายุมากขึ้น  โอกาสที่จะปวดหลังมีได้มากจากสาเหตุต่างๆ  โดยเฉพาะ จากการเสื่อมสภาพของร่างกาย  การเสื่อมของข้อต่อกระดูกสันหลังนั้นเริ่มเกิดขึ้นได้  ตั้งแต่อายุ 30 ปี  บางคนอาจมีอายุน้อยกว่านี้  ถ้าทำงานที่เกี่ยวกับการยกของหนัก  แบกหาม  ผลักดันสิ่งของอย่างต่อเนื่อง  บางคนที่มีอายุมากขึ้นอาจมีอาการปวดหลังไม่มาก  หรืออาจจะมีแต่ทนได้ก็ได้
ลักษณะอาการปวดหลัง
อาการปวดหลังแตกต่างกัน เช่น ปวดตื้อๆ  ปวดเสียดแทง  ปวดตุ๊บๆ  ปวดแบบหดรั้งกดรัด  ปวดร้าวลงขา ปวดหรือเจ็บจนไม่สามารถเคลื่อนไหวหลังได้ ก้มตัวไม่ได้เพราะเจ็บ โดยลักษณะอาการปวดนั้นมักขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค  บางคนเชื่อว่าการนอน จะช่วยลดการปวดหลังได้ ไม่ว่าการปวดหลังจะมีสาเหตุจากอะไรก็ตาม เรื่องการนอนนานๆ อาจไม่ได้ช่วยให้อาการปวดหลังดีขึ้นเสมอ  มิหนำซ้ำอาจทำให้หายช้าได้ด้วย
อาการปวดหลังช่วงล่างที่ต้องรีบพบแพทย์
  1. อาการปวดจะมากขึ้น ถ้าก้ม หรือยกของหนัก
  2. อาการอาจเป็นมาก  ถ้านั่งนานๆ
  3. การยืน เดิน  อาจทำให้มีอาการปวดเพิ่มขึ้น
  4. อาการปวดหลัง อาจเป็นๆ หายๆ บางวันหาย บางวันปวดมาก
  5. อาการปวดหลัง อาจเกิดร่วมกับอารมณ์ที่แปรปรวนได้
  6. อาการปวดหลัง อาจปวดร้าวไปที่สะโพก แก้มก้น ด้านหลังของโคนขา แต่จะไม่ร้าวลงต่ำกว่าระดับข้อเข่า
  7. อาการปวดหลัง อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย คือ ปวดร้าวลงไปต่ำกว่าระดับข้อเข่าไปถึงส้นเท้าปลายเท้าได้, อาจทำให้กำลังนิ้วเท้า ข้อ เท้า อ่อนแรง และมีอาการชาๆ ปลายเท้า  ภาวะเหล่านี้มักเกิดจากหมอนกระดูกสันหลังเลื่อนกดทับรากประสาทสันหลัง หรือเกิดเนื้องอกในช่องไขสันหลังได้
  8. อาการปวดหลังอาจมีอาการอย่างอื่นอีก  เช่น  มีไข้  หนาวสั่น  เหงื่อออกในเวลากลางคืน หรือมีน้ำหนักลดมากในช่วงเวลาสั้น
ไม่ว่าท่านจะมีอายุเท่าไหร่  ถ้ามีอาการปวดหลัง และมีอาการอื่นๆ ดังกล่าวแล้ว และถ้ารักษาตามปกติ อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 – 3 สัปดาห์ ท่านควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้อง และสมบูรณ์แบบต่อไป คนที่ปวดหลังอย่างเดียวไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เรียกว่า การปวดหลังที่ไม่ทราบสาเหตุ หรือ   ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Non specific low back pain แต่ถ้าปวดหลัง และมีพยาธิสภาพที่กระดูกสันหลังชัดเจน เช่น  กระดูกสันหลังหัก  โรคติดเชื้อ  มะเร็งกระดูก  หมอนรองกระดูกเคลื่อน  เราเรียกภาวะร่วมนี้ว่า Red Flag หรือธงแดง  คือว่า เป็นเรื่องค่อนข้างรุนแรง และบางโอกาสร้ายแรง
การรักษาอาการปวดหลัง
หลักการรักษามีอยู่ 3 วิธี ขึ้นกับการวินิจฉัยโรค และความรุนแรงของโรค คือ การรักษาทางยา  การรักษาด้วยวิธีไม่ใช้ยา (กายภาพบำบัด)  และการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด
การรักษาทางยา
มียาหลายประเภทที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้  คือ
  • ยากลุ่ม  Acetaminophen เช่น Paracetamol ใช้รักษาอาการปวดหลังได้ดี  โดยเฉพาะกลุ่ม  Nonspecific low back pain ผู้ป่วยกลุ่มนี้ใช้รักษา1-2 สัปดาห์ จะช่วยให้อาการปวดหายได้  แต่ถ้าใช้ยานี้ติดต่อกันนานๆ จะมีผลเสียต่อตับ ไต และเซลล์เม็ดเลือดในไขกระดูกได้
  • ยากลุ่มต้านการอักเสบ (Non steroid anti inflammatory drugs – NSAIDs) จะลดการอักเสบของข้อต่อ  กล้ามเนื้อหลัง  เอ็นข้อต่อ ตัวอย่างยาเช่น Ibuprofen, naproxen, piroxicam และอื่นๆ
  • ยากลุ่มนี้ถ้าใช้ติดต่อกันนาน จะมีผลเสียเช่นกัน เพราะจะทำลายเนื้อเยื่อตับ  ไต  และเซลล์เม็ดเลือดในไขกระดูก  ปกติใช้ได้ 2-3 สัปดาห์ อาการเจ็บปวดจะหายได้
  • กลุ่มยาเสพติดบางอย่าง เช่น Codeine, Morphine อาจใช้ได้เป็นครั้งคราว แต่ควรให้แพทย์สั่ง เพราะอาจติดยาได้ถ้าใช้บ่อยๆ
  • ยาคลายกล้ามเนื้อ  ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ จะลดอาการเจ็บปวดได้ดี
  • กลุ่มยาประเภทสเตอรอยด์  ซึ่งอาจใช้รับประทาน หรือชนิดฉีดเข้าไขสันหลัง ปกติยากลุ่มนี้ไม่ควรใช้ เพราะมีผลเสียต่อระบบต่างๆ ของร่างกายมาก จะต้องอยู่ในความดูและ สั่งการใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น.
การรักษาด้วยวิธีไม่ใช้ยา
คือ การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู และกายภาพบำบัด ถ้าการรักษาทางยาอย่างเดียวยังไม่พอ การรักษาทางกายภาพบำบัด จะช่วยลดอาการปวดได้มาก  บางครั้งการรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดอย่างเดียวสามารถช่วยลดความเจ็บป่วยโดย ไม่ต้องใช้ยารักษา วิธีรักษาด้วยกายภาพบำบัด มีดังนี้ :-กายภาพบำบัด
  •  เช่น การใช้ความร้อนที่เหมาะสม  ความเย็นที่เหมาะสม  การนวด  ใช้ Ultra sound และการกระตุ้นด้วยไฟฟ้ากายภาพบำบัดจะรวมถึงการสอนให้ผู้ป่วยทำเองด้วย เช่น การยืดกล้ามเนื้อแขน ขา ลำตัว, การยกน้ำหนักที่เหมาะสม, การเดินหรือวิ่งตามอัตภาพ จะช่วยลดความเจ็บปวด และช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง  ข้อต่อมีพลังในการเคลื่อนไหวได้คล่องตัวด้วย
  • การใช้เครื่องพยุงหลัง หรือเข็มขัดรัดหลัง จะช่วยพยุงหลังลดการเจ็บปวดได้  ในกรณีที่หลังท่านไม่แข็งแรง  จะช่วยให้ท่านรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย  แต่การใช้เครื่องพยุงนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังลีบ ไม่มั่นคงแข็งแรง เพราะโอกาสที่จะบริหารกล้ามเนื้อหลังน้อย การใช้เครื่องพยุงหลัง ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้สั่ง
  • การนวดดัดหลัง  มีวิธีต่างๆ มากมาย ซึ่งทำโดยนักกายภาพบำบัด หรือ Chiropractor ผู้ทำต้องมีความระมัดระวัง บางรายหายดี แต่บางรายปวดมากขึ้น
  • การดึงหลัง  จะมีประโยชน์ในผู้ที่ปวดหลัง และปวดร้าวลงขา กล้ามเนื้อหดเกร็ง  หมอนกระดูกสันหลังเลื่อน  บางรายได้ผลดี แต่บางรายปวดมากขึ้น
  • การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น โยคะ  อาจหายได้ แต่บางรายปวดมากขึ้น เพราะทำผิดท่า  การฝังเข็มบางรายได้ผล แต่ได้ผลในช่วงระยะสั้น เพราะไม่ได้รักษาต้นเหตุที่แท้จริง
การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด
จะรักษาด้วยวิธีผ่าตัด เมื่อการรักษาด้วยวิธีอนุรักษ์นิยม เช่น การรักษาทางยา  กายภาพบำบัด  และอื่นๆ  นาน 3 – 6 เดือนแล้ว ไม่หาย  ในรายที่จะต้องผ่าตัดรักษา ศัลยแพทย์จะต้องอธิบายพยาธิสภาพที่เกิดกับกระดูกสันหลังให้ท่านรับทราบก่อน  รวมทั้งขอดีข้อเสีย และภาวะแทรกซ้อนต่างๆด้วย  มีผลตรวจด้วยภาพรังสี, CT Scan or MRI ที่ชี้ชัดว่ากระดูกสันหลังมีพยาธิสภาพ ก่อนการผ่าตัดแพทย์จะต้องตรวจสุขภาพของผู้ป่วยว่าสมบูรณ์แข็งแรงพอที่จะทน การดมยาสลบผ่าตัดได้ และมีปัจจัยเสี่ยงหรือไม่

ศ.เกียรติคุณ นพ. เจริญ โชติกวณิชย์
ปริญญาบัตร/วุฒิบัตร
แพทยศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล ปี พ.ศ. 2504
สาขาออร์โธปิดิกส์  ศัลยกรรมกระดูกและข้อ
โรงพยาบาลสมิติเวช 02-022-2222