วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

Cell Rejuvenator – มิติใหม่แห่งความอ่อนเยาว์ ประตูสู่ความสมดุล

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น…ความเสื่อมของสภาพผิวที่เป็นไปตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยค่ะ
Nurse กู๊ด มีบทความเกี่ยวกับการย้อนรอยผิวให้ดูอ่อนเยาว์มาบอกเล่าต่อหนุ่มๆ สาวๆ ที่อยากฟื้นฟู
สภาพผิวให้ยังคงทรงพลัง มาฝากค่ะ
มิติใหม่แห่งความอ่อนเยาว์ ประตูสู่ความสมดุล
Cell Rejuvenator* encompasses technology that will improve your skin aging by
targeting  the fatigued cells and restoring their strength and vitality.  This new
treatment is the choice for your beauty solution.
Cell Rejuvenator :
เป็นนวัตกรรมสำหรับการย้อนวัยผิวนะคะ  คือปลุกชีวิตเซลล์ผิวที่อ่อนล้าให้ฟื้นคืนพลัง อัพเวอร์ชั่นเป็นเซลล์ใหม่
ด้วยการเพิ่มการผลิต ATP จากไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นขุมพลังงานของเซลล์ค่ะ  รวมทั้งร่วมกำจัดอนุมูลอิสระ
ส่งผลให้อวัยวะต่างๆ เช่น ระบบประสาท กล้ามเนื้อ สามารถทำงานประสานกันได้อย่างสมดุล เกิดการซ่อมแซม
และเสริมสร้างโปรตีน คอลลาเจน อิลาสติน ฟื้นฟูสภาพผิว และยกกระชับคืนความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อค่ะ
Cell Rejuvenator :
ด้รับการพัฒนาและคิดค้นจากนักวิจัยชื่อดังในประเทศอังกฤษ และได้รับเครื่องหมายรับรองความปลอดภัย
จาก EU จึงมีความปลอดภัยสูงและมีความน่าเชื่อถือได้ค่ะ






“ในฐานะของแพทย์ด้านผิวพรรณเชื่อว่า Cell Rejuvenator เป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลผิวยุคใหม่
ที่ชายและหญิงจะอยู่อย่างอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดีค่ะ”
Nurse กู๊ด ขอแนะนำ แพทย์หญิงนลินี สุทธิพิศาล   แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ ค่ะ
ถ้าสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ค่ะ
สัมผัสมิติใหม่ของผิวสวยจากภายใน ที่สถาบันสุขภาพผิวพรรณ ชั้น 5 อาคาร 2 โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ค่ะ
แล้ว Nurse กู๊ด จะนำบทความดีๆ มาบอกต่ออีกนะคะ
ถ้าชอบบทความของ Nurse กู๊ด ฝากติชมและให้กำลังใจ Nurse กู๊ดได้นะคะ

หญิงสาว ความงาม และสัดส่วน

Nurse กู๊ดมีข่าวดีมาให้ชื่นใจกันอีกแล้วค่ะสำหรับสาวๆที่รักความสวยความงาม
ก็เพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ต้องเสี่ยงและทนกับความเจ็บปวดกับวิธีลดไขมันแบบเดิมๆแล้วค่ะ
AccuSculpt™(Laser Assisted Lipolysis)คือ‘ทางเลือกใหม่’เพราะนี่คือนวัตกรรม
ล่าสุดของเลเซอร์ที่ใช้ทางด้านความงามโดยเฉพาะ(ผ่านการรับรองจากUS FDA แล้วด้วย
ว่าปลอดภัยไร้กังวล และแน่นอนผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของไทยแล้วเช่นกันค่ะ)
มีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียงน้อยลืมท่อดูดไขมันไซส์ยักษ์แบบเก่าๆไปได้เลยค่ะ!!









อะไร ? อย่างไร ?
     AccuSculpt™ คือเครื่องเลเซอร์สำหรับใช้สลายไขมันส่วนเกินมีผลกับไขมันโดยตรง
โดยเมื่อไขมันละลายสลายเป็นของเหลวแพทย์จะใช้ cannula(ท่อดูดไขมัน)ขนาดเล็กมากๆ
ดูดไขมันส่วนเกินนั้นออกมาอย่างนุ่มนวล มีโอกาสเกิดอาการช้ำ บวม น้อยกว่าเดิมมาก
อีกสิ่งที่จะเกิดตามมาคือ คอลลาเจนจะสร้างตัวขึ้นมาใหม่เพราะแรงกระตุ้นของเลเซอร์ส่งผลให้
‘ผิวที่ตึงกระชับ ได้สัดส่วนตามที่ต้องการ’ที่คุณสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังจากผ่านกระบวนการ
เลยทีเดียวและยังมีผลค่อยๆยกกระชับผิวหนังในระยะยาวไม่เหมือนกับเทคโนโลยีดูดไขมัน
ทุกชนิดที่เคยมีมาค่ะ

ที่ไหน ?
     ทั่วทั้งร่างกายที่มีไขมันส่วนเกิน AccuSculpt™ สามารถช่วยได้ตั้งแต่ที่หนักๆหน่อย
อย่างบริเวณหน้าท้องห่วงยาง ต้นขา สะโพก ต้นแขน รวมถึงแผ่นหลัง ทำให้มีทรวดทรงที่กระชับ
ได้สัดส่วนที่ดีมากขึ้นแต่สิ่งที่สามารถสร้างความมั่นใจได้มากขึ้นไปอีกคือ AccuSculpt™ สามารถ
ใช้ได้กับบริเวณใบหน้าและลำคอที่มีปริมาณไขมันน้อย (แต่มีเส้นเลือดกับเส้นประสาทจำนวนมาก)
ได้อย่างปลอดภัยเพราะแสงเลเซอร์ชนิดนี้ต่างจากเลเซอร์ทุกชนิดที่เคยมีมากล่าวคือมีความเฉพาะ
เจาะจงต่อเซลล์ไขมันมากกว่าเดิมถึงประมาณ 10 เท่า ส่งผลต่อเนื้อเยื่อข้างเคียงน้อยมาก
ซึ่งสามารถลดไขมันสะสมบนใบหน้าบางบริเวณที่ทำให้ใบหน้าดูอวบอ้วน ได้แอย่างปลอดภัยค่ะ
พิเศษที่ใบหน้ากับสุดยอดความปลอดภัย
     นอกจากการขจัดไขมันส่วนเกินบนใบหน้าที่น่ารำคาญใจแล้วบางครั้งยังต้องพักฟื้นนาน
ในผู้ที่เคยเสียเงินมาก ๆ ในการทำเลเซอร์ภายนอกซึ่งจะยกกระชับผิวหนังได้บางส่วนอีกทั้ง
ไม่สามารถขจัดไขมันสะสมบางบริเวณบนใบหน้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งวัยก็สามารถแก้ปัญหา
ได้ด้วยเครื่องนี้เพราะ Acculift เป็นการยกกระชับใบหน้าจากด้านในโดยนำเลเซอร์ไปถึงจุด
ที่เราต้องการกระตุ้นโดยตรง นั่นคือผิวหนังชั้นใน และยังเป็นการขจัดไขมันส่วนเกินบนใบหน้า
ไปพร้อม ๆ กันซึ่งเราสามารถใช้นวัตกรรมใหม่ตัวนี้ในการลดริ้วรอยบนใบหน้าได้อย่างปลอดภัย
ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม ใต้ตา บริเวณแก้ม คาง และใต้คางได้อีกด้วย
ซึ่งจะทำให้ใบหน้าดูเรียว พร้อมผิวยกกระชับ ลดอายุลงได้เป็นกองเลยค่ะ

แน่ใจได้
     นวัตกรรมใหม่นี้นอกจากไม่สร้างความเจ็บปวดจากกระบวนการรักษาแล้วยังใช้แค่เพียง
ยาชาเฉพาะที่(ขอผ่านเถอะนะยาสลบ)ทำให้เราฟื้นตัวได้เร็วกลับไปทำงานได้เลยทันที
และถ้าสาวๆได้รับการรักษาและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญแล้วล่ะก็ นอกจากเห็นผลทันทีแล้ว
บวกกับการดูแลร่างกายอีกสักหน่อย รับรองเลยว่าสวยใส อ่อนวัยแน่นอน
และที่สำคัญ ช่วยลืมคำว่า ‘อยากจะสวยก็ต้องอดทน’ ไปเลยค่ะ
สนใจสอบถามรายละเอียดสถาบันความงาม โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
โทร : 0-2711-8514 และ 0-2711-8519 ค่ะ

แล้ว Nurse กู๊ด จะนำบทความดีๆ ข่าวดี ๆ มาบอกต่ออีกนะคะ
ถ้าชอบบทความของ Nurse กู๊ด ฝากติชมและให้กำลังใจ Nurse กู๊ดได้นะคะ
โรงพยาบาลสมิติเวช

ปัญหากลิ่นกาย

หลาย ๆ คน คงมีปัญหาเหงื่อเยอะ มีกลื่นเหงื่อใต้วงแขน มีกลิ่นกายรบกวนใจทำให้ความความมั่นใจ
แต่ Nurse กู๊ด มีข่าวดีมาบอกค่ะสำหรับเรื่องการกำจัดปัญหารบกวนใจกับกลื่นพวกนี้ที่หลาย ๆ คนไม่ปลื้มเอาเสียเลย

เหงื่อออกมากใต้วงแขน (Hyperhidrosis) เป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจให้ผู้ที่ประสบปัญหานี้
เป็นอย่างมากแม้จะไม่สร้างกลิ่นอันไม่พึงประสงค์แต่ว่าการที่มีเหงื่อออกมากใต้วงแขนทำให้เป็นการเสียบุคลิกภาพ
ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนอะหนะ เปียกแฉะตลอดเวลาบางคนแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนเสื้อบ่อย ๆ บางคนเอากระดาษ
ทิชชูมารองซึ่งก็ไม่ได้แก้ปัญหาที่สาเหตุความผิดปกตินี้เกิดจาก การทำงานมากของต่อมเหงื่อ ซึ่งพบมากที่รักแร้
เกิดจากการกระตุ้นของระบบประสาทอัตโนมัติอาจสัมพันธ์กับสภาวะเครียดวิตกกังวล

ส่วนกลิ่นกาย (Bromhidrosis, Osmidrosis) เกิดเนื่องจากแบคทีเรียเปลี่ยนแปลงสารที่ผลิต
จากต่อมไขมันเกิดกลิ่นขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับ พันธุกรรม และอาหารกลิ่นแรงที่รับประทานด้วยซึ่งการแก้ปัญหานอกจาก
หมั่นรักษาความสะอาดของร่างกายแล้วควรเลือกรับประทานอาหารที่สร้างกลิ่นกาย อาจช่วยได้บ้างในบางรายเท่านั้น

ปัญหาเหล่านี้พบได้ไม่น้อยทำให้ผู้ป่วยเสียบุคลิกภาพสูญเสียความมั่นใจบางคนถึงกับหลีกเลี่ยง
การเข้าสังคมสูญเสียหน้าที่การงานแท้จริงแล้วสามารถแก้ไขได้สำหรับผู้มีเหงื่อออกมาก สามารถใช้โบท็อกซ์ในการ
รักษาแต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงและผลไมถาวรจึงอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการรักษา

ปัจจุบันการมีเหงื่อออกมากใต้วงแขนและมีกลิ่นกายนั้นสามารถรักษาได้ด้วยเครื่องเลเซอร์เครื่องดังกล่าว
นี้ชื่อ AccuSculpt เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ใช้ลำแสงเลเซอร์ ND-YAG 1444 nm ร่วมกันพัฒนาและผลิตจาก
ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเกาหลี วิธีการทำก็ง่ายเพียงแค่สอดเลเซอร์ไฟเบอร์เล็ก ๆเข้าไปทำลายต่อมเหงื่อ
และต่อมไขมันใต้รักแร้ใช้เวลาทำไม่นานประมาณแค่ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงทั้งสองข้างเจ็บน้อยกว่าการฉีดโบท็อกซ์
มีความปลอดภัยสูงทำเสร็จแล้วกลับไปทำงานต่อได้ทันทีซึ่งนอกจากค่าใช้จ่ายไม่สูงมากแล้วยังเป็นการรักษาที่ให้ผล
แบบถาวรจึงทำให้วิธีการนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายในต่างประเทศ และปัจจุบันได้มีใช้แล้วในประเทศไทย

สนใจสอบถามรายละเอียดสถาบันความงาม สมิติเวช สุขุมวิท 
โทร :  0-2711-8514 และ 0-2711-8519  ค่ะ

Nurse กู๊ด คิดว่าหลาย ๆ คนคงสบายใจขึ้นแล้วใช่ไหมคะ เลิกกังวลกับกลิ่นเหงื่อไม่พึงประสงค์เหล่านี้ได้แล้วนะคะ ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ค่ะ แล้ว Nurse กู๊ด จะนำบทความดีๆ ข่าวดี ๆมาบอกต่ออีกนะคะ ถ้าชอบบทความของ Nurse กู๊ด ฝากติชมและให้กำลังใจ Nurse กู๊ดได้นะคะ


วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

Anti-aging เสริมสวยด้วยสุขภาพดี

วันนี้ Nurse แอ๋ว จะมาคุยถึงเรื่อง Anti-aging กันนะคะ :)

พอได้ยินคำว่า Anti-aging หลายคนก็คิดถึงแต่เรื่องของความสวยที่ช่วยชะลอความแก่ แต่จริงๆ แล้ว Anti-aging คือหนึ่งในเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ หรือที่บางคนเรียกว่าเวชศาสตร์ชะลอวัย ที่กำลังเป็นที่กล่าวขานในยุคนี้ ใครอยากทำความรู้จักศาสตร์นี้เพิ่มขึ้น ตามมาคุยกับ พ.ญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล คุณหมอคนเก่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ และ Anti-aging กันได้เลย



Anti-aging คืออะไร?
Anti-aging คือศาสตร์การแพทย์ที่ใช้ในการส่งเสริมสุขภาพให้ดีจากภายในสู่ภายนอก หรือ Health Promotion ไม่ใช่เรื่องของการชะลอความแก่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการส่งเสริมสุขภาพให้ดีทั้งระบบ ทำให้เราอายุยืนอย่างมีคุณภาพชีวิต
วิธีการเป็นอย่างไร
หลักการของ Anti-aging ก็คือปลูกฝังนิสัยการเลือกรับประทานอาหาร ซึ่งจะต้องเริ่มฝึกตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อยๆ เริ่มรู้จักที่จะเลือกรับประทานอาหารเองในวัยเด็กโต หรือวัยรุ่น การออกกำลังกายก็เช่นกัน ยิ่งฝึกได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกาย ถือเป็นกิจกรรมที่เราควรปฏิบัติให้เป็นกิจวัตรอยู่ตลอดเวลา ควรรับประทานให้อยู่ในปริมาณที่พอดี พออิ่ม ไม่หวานมากเกินไป เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง และทำให้ผิวพรรณของเราเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
การดูแลของแพทย์
วางแผนให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพตั้งแต่วัยเด็ก สำหรับผู้ใหญ่จะมีการตรวจสุขภาพแบบ Anti-aging Test ซึ่งตรวจได้ตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ โดยจะเริ่มดูว่าจะมีแนวโน้มความเสี่ยงว่าจะเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวานอะไรได้บ้าง ซึ่งจะค่อนข้างละเอียดกว่าการตรวจปกติทั่วไป วัยที่มีฮอร์โมนถดถอย ก็จะมีการตรวจเช็คฮอร์โมนให้ พออายุมากขึ้นไปอีกก็จะไปสู่การตรวจคัดกรองมะเร็งต่างๆ และการตรวจเรื่องของกระดูกบาง อย่างละเอียดด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ จากนั้นนำผลที่ได้มาใช้ในการวางแผนดูแลสุขภาพต่อไป
ในเรื่องของความงาม
ต้องเข้าใจก่อนว่า Anti-aging คือต้องสวยจากภายใน สุขภาพดีแล้วผิวจึงสวย ซึ่งสุขภาพต้องดีทั้งร่างกายและจิตใจ จึงมีการส่งเสริมเรื่องของจิตใจ ให้อารมณ์แจ่มใส ควบคู่กับการดูแลร่างกาย เช่น การตรวจวัดวิตามินในร่างกาย เพื่อหาวิธีเสริมสร้างวิตามินที่ขาดหายไป หรือการทำทรีตเม้นต์และเลเซอร์ เพื่อกระตุ้นเซลล์ผิวให้แข็งแรง เมื่อร่างกายและจิตใจสมบูรณ์พร้อม ผิวพรรณก็จะเปล่งปลั่งเป็นธรรมชาติ
คุณพอลล่า เทเลอร์ นักแสดงและนางแบบ ยังเคยกล่าวถึงเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ไว้ดังนี้ค่ะ
“เคล็ดลับการดูแลสุขภาพของพอลล่าก็คือ รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ พอลล่าชอบการเดินออกกำลังกาย และเมื่อมีปัญหาด้านสุขภาพก็ไม่ลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ค่ะ”
น่าสนใจใส่ไหมค่ะ เพื่อนๆ อย่าลืมดูแลสุขภาพกันนะคะ
เพื่อนๆ สามารถแลกเปลี่ยน comment กันได้นะคะ อยากให้ Nurse แอ๋ว คุยเรื่องอะไร สามารถบอกได้นะคะ :D

ขอทิ้งท้ายด้วยคลิปวีดีโอ Health tips จาก Nurse aeaw นะคะ



การออกกำลังกาย แบบโยคะสบายครรภ์

Nurse ปู มีบทความดี ๆ มีสาระ มาฝากว่าที่คุณแม่ค่ะ ช่วงตั้งครรภ์ว่าที่คุณแม่ก็สามารถออกกำลังกายเบา ๆ
แบบโยคะได้เหมือนกันนะคะ ได้ฝึกทั้งสมาธิ การกำหนดลมหายใจแล้วก็ความแข็งแรงของอวัยวะอย่างเช่น ขา หลังเท้า กระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อที่รับน้ำหนัก ด้วยค่ะ

โยคะกำเนิดขึ้นที่ประเทศอินเดียกว่า 5,000 ปีมาแล้ว และยังดำรงคุณค่ามาถึงปัจจุบัน ด้วยเป็นศาสตร์แห่งชีวิต
ที่สามารถพัฒนาผู้ปฏิบัติ ไปสู่สุขภาวะและความหลุดพ้น การตั้งครรภ์เป็นกระบวนการหนึ่งใน ธรรมชาติของสตรีต่อ หน้าที่อันยิ่งใหญ่ของการเป็นแม่ ผู้ดูแล โอบอุ้ม และประคับประคองชีวิตใหม่ ซึ่งสตรีตั้งครรภ์ควรตระหนักรู้เข้าใจ
เพื่อมุ่งมั่นนำภารกิจนี้ต่อชีวิตที่กำเนิดขึ้น โยคะสอนให้มีทัศนะต่อการตั้งครรภ์ ว่าเป็นประสบการณ์ที่ทำให้สตรี ได้มีโอกาสเติบโต ทั้งกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพัฒนาความสามารถ เผชิญกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ อย่างมีสติและปัญญา นอกจากนั้นอาสนะโยคะ ยังช่วยสตรีจัดปรับท่าทางให้ ถูกต้อง เสริมสร้างความแข็งแรงของขา หลังเท้า กระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อที่รับน้ำหนัก ทำให้ระบบไหลเวียนเลือด และระบบย่อยอาหารมีความสมดุลย์

โยคะสูตร หรือมรรค 8 ของโยคะ ประกอบด้วย
1. ยามะ หรือ ศีล
2. นิยามะ หรือ ความมีวินัยในตนเอง
3. อาสนะ คือ บริหาร เพื่อเตรียมการพร้อมฝึกจิต
4. ปราณยามะ คือ การควบคุมลมหายใจ
5. ปรัตยาหาระ เป็น การสำรวมอินทรีย์ทั้ง 5
6. ธารณะ เป็น การกระทำให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งเดียว
7. ญานะ เป็น ธยาณ คือ การมีปัญญาตระหนักรู้ และเข้าใจอย่างแท้จริงในสิ่งที่เกิดขิ้น
8. สมาธิ คือ สภาวะจิตสูงสุดใน การประสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน กับทุกสรรพสิ่ง

การฝึกโยคะในสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์สามารถฝึกโยคะได้ เพราะโยคะสอนการมีทัศนคติที่ดี การดูแลลมหายใจ การบริหารและผ่อนคลายกาย และจิต อาหารเพื่อสุขภาพและจิต และการฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบัน การปฏิบัติโยคะอาสนะนั้น โยคีท่านเปรียบเราเหมือนนักกายภาพ เนื่องจากท่าทางของโยคะสามารถนวดให้เกิดการผ่อนคลาย หรือบำบัดอาการ แข็งตึงของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น หรือข้อต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ อีกทั้งยังมีผลทางอายุรเวท กล่าวคือการกำหนดลมหายใจโดยการหายใจลึกๆและยาวๆ จะทำให้การหมุนเวียนของเลือดไปหล่อเลี้ยงยังส่วนต่างๆของร่างกายทำได้ทั่วถึงมากขึ้นสำหรับการฝึกโยคะอาสนะของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น นอกจากคุณแม่จะได้สัมผัสกับความงดงามใน

กระบวนท่าต่างๆแล้ว สิ่งสำคัญที่คุณแม่จะได้รับก็คือ สุขกายและจิตใจที่สมดุลและสมบูรณ์ กล่าวคือ
- ทำให้คุณแม่และทารกในครรภ์มีภูมิคุ้มกันเต็มที่- ทำให้คลอดง่าย ลดความเจ็บปวด และความเสี่ยงในการคลอด
- ทำให้จิตใจสบาย นอนหลับง่าย อารมณ์ผ่องใส- ทำให้ร่างกายหลังคลอดกลับคืนสู่สภาพปกติได้ ซึ่งการฝึกโยคะ โยคะอาสนะ จะแบ่งตามช่วงของอายุครรภ์ ดังนี้

โยคะอาสนะในช่วงครรภ์ 4-6 เดือน ในชั้นเรียนโยคะจะเริ่มด้วยท่าโยคะเต็มรูปแบบเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์เข้าเดือนที่ 4-6 เป็นต้นไป ในระยะนี้ถือเป็นช่วงกลางของการตั้งครรภ์ และเป็นช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์กำลังแข็งแรงเต็มที่ อาการอ่อนเพลียหรืออาการคลื่นไส้หายไปแล้ว อารมณ์จะเริ่มผ่องใสและสนุกสนานมากขึ้น สังเกตได้ว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เข้าชั้นเรียนโยคะ ในช่วงนี้หน้าตาจะสดชื่นกันทุกคน คุณแม่ที่ฝึกโยคะมาก่อนการตั้งครรภ์ อาจจะได้เปรียบกว่าคุณแม่ ท่านอื่นอยู่นิดหน่อย แต่คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสโยคะเลยก็ยังสามารถฝึกได้ การตั้งครรภ์ในช่วงกลางนี้เป็นช่วงที่เหมาะกับการหายใจลึก เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับทารกในครรภ์ ทั้งยังช่วยปรับปรับการไหลเวียนของโลหิตให้สูบฉีดไปทั่วร่างกายได้โดยสะดวก

1. ท่าภูเขา ช่วยทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ มีการทรงตัวที่ดี สามารถแบกรับน้ำหนักของทารกที่กำลังจะโตและน้ำหนักของคุณแม่ได้ดีขึ้น อีกทั้งการยืดกระดูกสันหลังตรงจะช่วยให้หายใจได้ลึกขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง และช่วยขจัดความเมื่อยล้าได้ดี
2. ท่าไหว้พระอาทิตย์ (แบบย่อ) เป็นท่ายืดเส้นยืดสายด้วยการก้มเงย ทำให้กล้ามเนื้อหลังอ่อนช้อย เป็นการฝึกท่ายืน เพื่อเตรียมพร้อมต่อการแบกรับน้ำหนักของลูกน้อย เพิ่มพลังการหายใจ ทำให้สดชื่น
3. ท่าเด็ก ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดกล้ามเนื้อคอ จนกล้ามเนื้อหลังบริเวณก้นกบ ปรับปรุงการหายใจ นวดอวัยวะภายในช่องท้องส่วนล่าง
4. ท่าเข่าถึงอก ช่วยทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยขับลมออกจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ป้องกันอาการปวดเข่า ออกกำลังข้อต่อกระดูกเชิงกราน ทำให้มีเลือดไปหล่อเลี้ยงบริเวณก้นกบมากขึ้น
5. ท่ายกขาทีละข้าง ออกกำลังกล้ามเนื้อขา ทำให้กล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรง ขจัดไขมันต้นขา ทำให้เลือดหมุนเวียน ป้องกันตะคริวที่น่องและปัญหาเส้นเลือดขอด
6. ท่ายืนด้วยไหล่ พัฒนาระบบการหมุนเวียนเลือด ทำให้มีการสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจ ไปหล่อเลี้ยงต่อมไทรอยด์มากขึ้น มีผลต่อการผลิตฮอร์โมน ป้องกันการแท้งลูก ป้องกันเส้นเลือดโป่งพอง ท้องผูก และปัญหาริดสีดวงทวาร แก้ไขปัญหา อาการถ่วงหนักอันเนื่องมาจากน้ำหนักของลูกน้อยกดทับบนพื้นเชิงกราน
7. ท่าเพชร ช่วยผ่อนคลายร่างกายส่วนบน คือช่องทรวงอกและกระดูกซีกโครง ทำให้หายใจได้ลึกขึ้น ผ่อนคลายความตึงเครียดกล้ามเนื้อส่วนหลังไปจนถึงกระดูกก้นกบ ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงอุ้งเชิงกรานมากขึ้น
8. ท่ายืดส่วนหลัง ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อส่วนหลัง ออกกำลังข้อต่อสะโพก ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณเอ็นใต้ขา ป้องกันตะคริวที่น่อง
9. ท่าวิดพื้นแบบงอเข่า ออกกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับอวัยวะส่วนแขน ข้อมือ และไหล่ ช่วยพยุงกล้ามเนื้อหน้าอกไม่ให้หย่อนคล้อย ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณกล้ามเนื้อหลังส่วนบน

โยคะอาสนะในช่วงครรภ์ 7-9 เดือน คุณแม่มือใหม่เมื่อรูปร่างของครรภ์ ของตัวเอง คนครรภ์ใหญ่ทุกคนดูงาม น่ารักน่าเอ็นดู เพราะการฝึกโยคะทำให้อารมณ์แจ่มใส
1. ท่าศีรษะถึงเข่า เป็นท่าที่ยืดกล้ามเนื้อส่วนหลังอีกท่าหนึ่ง ช่วยผ่อนคลายอาการตึงเอ็นใต้พับขา ออกกำลังข้อต่อกระดูกเชิงกรานและกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในช่องท้อง
2. ท่าสะพาน ผ่อนคลายอาการตึงบริเวณกล้ามเนื้อคอ หลังส่วนบน ไปจนถึงกล้ามเนื้อหลังส่วนเอว ช่วยผายหน้าอกและซี่โครง ทำให้หายใจสะดวก ออกกำลังข้อต่อกระดูกเชิงกราน และกล้ามเนื้อต้นขา
3. ท่าดอกบัวแบบบิดกาย ช่วยผ่อนคลายอาการตึงเครียดบริเวณกล้ามเนื้อข้างลำตัว ช่วยระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น แก้ปัญหาท้องอืด กระชับต้นแขน ขจัดไขมันต้นแขน ทำให้ข้อต่อสะโพก หัวเข่า และข้อเท้าอ่อนตัว
4. ท่าดอกบัวอียงข้าง ออกกำลังกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว ขจัดไขมันที่เอวและต้นแขน แก้ปัญหาปวดสะโพกและต้นขา
5. ท่าสะพาน ผ่อนคลายอาการตึงบริเวณกล้ามเนื้อคอ หลังส่วนบน ไปจนถึงกล้ามเนื้อหลังส่วนเอว ช่วยผายหน้าอกและซี่โครง ทำให้หายใจสะดวก ออกกำลังข้อต่อกระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้อต้นขา
6. ท่าดอกบัวแบบบิดกาย ช่วยผ่อนคลายอาการตึงเครียดบริเวณกล้ามเนื้อข้างลำตัว ช่วยระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น แก้ปัญหาท้องอืด กระชับต้นแขน ขจัดไขมันต้นแขน ทำให้ข้อต่อสะโพก หัวเข่า และข้อเท้าอ่อนตัว
7. ท่าดอกบัวเอียงข้าง ออกกำลังกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว ขจัดไขมันที่เอวและต้นแขน แก้ไขปัญหาปวดสะโพกและต้นขา
8. ท่าวีรบุรุษ แก้ปัญหาอาการบวมที่นิ้วมือ แก้ปัญหาปวดไหล่ ต้นคอ หลังงุ้มงอ ป้องกันการคล้อยยานของหน้าอก ช่วยทำให้การหายใจไม่ติดขัด
9. ท่าแมงยืดตัว ออกกำลังข้อมือ แขนและไหล่ ออกกำลังต้นขา ขจัดไขมันต้นขา และไขมันบริเวณสะโพก นวดหลังและข้อต่ออุ้งเชิงกราน
10. ท่านั่งก้มศีรษะ ผ่อนคลายอาการตึงบริเวณไหล่และกล้ามเนื้อหลังส่วนบน แก้ปัญหาอาการปวดสะโพก หรือบริเวณเหนือก้นกบ นวดอวัยวะช่องท้อง ลำไส้ และกระเพาะอาหาร ลดไขมันต้นแขน ทำให้กล้ามเนื้อต้นแขนและกระชับสวยงาม
11. ท่าดาว ออกกำลังอุ้งเชิงกราน เป็นการยืดเชิงกรานให้แข็งแรง ซึ่งมีผลต่อการคลอด แก้ปัญหาอาการปวดหลัง ปวดหน่วงบริเวณอุ้งเชิงกราน
12. ท่าแมวโก่งตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังช่วงเอว กล้ามเนื้อคอ และไหล่ บำรุงกล้ามเนื้อหน้าท้องให้แข็งแรง ออกกำลังอุ้งเชิงกราน
13. ท่าแมวหมอบคลาน ช่วยผ่อนคลายอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน ผ่อนคลายอาการปวดร้าวบริเวณอุ้งเชิงกราน และบริเวณก้นกบ
14. ท่าหมาก้มตัว ช่วยผ่อนคลายและยืดกล้ามเนื้อส่วนหลังไปจนถึงเอ็นใต้ขาพับ ทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ใบหน้าสดชื่น เพราะเลือดจากหัวใจไปหล่เลี้ยงใบหน้า ช่วยถ่ายเทน้ำหนักของลูกน้อยจากกระดูกสันหลังและช่องท้องน้อย
15. ท่าพระจันทร์เสี้ยว ผ่อนคลายความตึงเครียด บริเวณกล้ามเนื้อด้านข้าง ขจัดไขมันส่วนเอว กระชับกล้ามเนื้อต้นแขน ทำให้การทรงตัวดี
16. ท่าเขย่งย่อ ออกกำลังขา หัวเข่า และข้อเท้า ผ่อนคลายอาการเมื่อยล้า จากการยืนต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ช่วยถ่ายน้ำหนักของมดลูกจากกระดูกสันหลัง อุ้งเชิงกราน และขา
17. ท่าคานหาม ออกกำลังกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว ขจัดไขมันที่เอว สะโพก ต้นขา และต้นแขน ช่วยยืดกระดูกสันหลัง ยืดเอ็นใต้ขา ป้องกันตะคริวที่น่อง ออกกำลังข้อต่อในอุ้งเชิงกราน
18. ท่านอนบิดตัว ช่วยนวดกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว ทำให้ผ่อนคลายหายปวดเมื่อย นวดลำไส้ กระตุ้นระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการหายใจเพื่อการผ่อนคลาย และสบายต่อการคลอด ซึ่งลมหายใจคือชีวิต เพราะการหายใจได้ลึก ยาว นุ่มนวล และแผ่วเบาและแผ่วเบาจะช่วยให้ร่างกายได้รับ อากาศบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ ควรเตือนตัวเองให้มีสติอยู่ตลอดเวลา พยายามควบคุมลมหายใจอยู่เสมอ เพราะว่ายิ่งหายใจได้ลึกเท่าไหร่ คุณแม่ก็จะยิ่งได้รับออกซเจนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งส่งผลต่อไปถึงลูกน้อย เพราะทารกได้รับออกซิเจนจากมารดาผ่านทางรก นอกจากนี้การหายใจยังช่วยให้เกิดการผ่อนคลาย คุณแม่จะตระหนักรู้ถึงความเจ็บปวด และรู้จักผ่อนคลายโดยการใช้ลมหายใจเป็นผู้ควบคุม การหายใจลึก นุ่มนวล จะทำให้คุณแม่ผ่อนคลายความกังวลและความไม่ตื่นเต้นตกใจง่าย เป็นการเตรียมตัวให้จิตเป็นสมาธิ ไปจนถึงช่วงคลอดเลยทีเดียว
ถ้าอ่านแล้วชอบบทความที่ Nurse ปู นำมาฝากกันล่ะก็ อย่าลืม comment ให้กำลังใจด้วยนะคะ